หรือเงินทุนต่างชาติจะเปลี่ยนทิศ
เมื่อเงินไหลออกจากต้นเดือน 1.53 หมื่นล้านบาท
นักวิเคราะห์ รอ เฟด คืนนี้จะเป็นตัวกำหนดเกม

.
เหมือนเม็ดเงินต่างชาติ กำลังจะเปลี่ยนทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่านับจากต้นเดือนกันยายน 65 ถึงปัจจุบัน (20 กันยายน 65) มียอดขายสุทธิกว่า -15,329.24 ล้านบาท หากไล่เรียงดูการซื้อขายรายวันในช่วงดังกล่าว พบว่ามีการซื้อสุทธิเพียง 3 วันเท่านั้นคือล่าสุดวันที่ 20 กันยายน 414.61 ล้านบาท วันที่ 12 กันยายน 2,249.58 ล้านบาท และวันที่ 9 กันยายน 1,216.83 ล้านบาท
.
ทั้งนี้หากนับจากต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบันนั้น เดือนกันยายนไม่ใช่เดือนแรกที่ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย แต่ยังมีเดือนมิถุนายนที่ขายสุทธิกว่า -29,990.17 ล้านบาท เท่ากับว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2 ใน 9 เดือน นั่นก็คือ เดือน มิถุนายน และเดือนกันยายนที่ยังไม่จบเดือนอย่างไรก็ตามแม้ในเดือนกันยายนนี้ต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทย แต่หากนับสถิติตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างยังยังมียอดซื้อสุทธิกว่า 155,414.47 ล้านบาท
.
สำหรับต่างชาติที่ขายสุทธิดังกล่าว นักวิเคราะห์บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า ตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลัง FED และ ธนาคารกลางหลายประเทศเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวขึ้นและ เงินทุนต่างชาติไหลออกในช่วงนี้
.
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบล. ยูโอบี เคย์เฮียน กล่าวว่า ทิศทางเงินทุนต่างชาติในระยะสั้นอาจจะมีความไม่แน่นอน โดยจุดที่น่าสนใจ คือ โดยเงินบาทอ่อนค่าไปกว่า 37 บาท เพราะเกิดจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปัจจุบันเริ่มเห็นทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันเริ่มชะลอตัว และต่างชาติเริ่มเดินทางเข้าไทยมากขึ้นทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มน้อยลง และทยอยปรับตัวดีขึ้น
.
ดังนั้นแปลว่าระยะสั้นค่าเงินบาทอาจจะทะลุ 37 บาท แต่ในช่วงต่อไปควรจะเห็นการแข็งค่าของเงินบาท เมื่อมองว่าโมเมนตัมเศรษฐกิจที่จะดีกว่านี้ จึงประเมินว่าหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะมีความผันผวนระยะสั้น
.
จับตาประชุดเฟดอาจชี้ชะตาเงินทุนเคลื่อนย้าย
บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า วานนี้ (20 กันยายน) กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาคแต่ค่อนข้างบางเพียง 133 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดยไต้หวัน 97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเกาหลีใต้และอาเซียนเม็ดเงินผสมผสานไหลเข้าสลับไหลออก โดยแนวโน้มกระแสเงินทุนคาดกลับมาไหลออกบางๆอีกครั้ง และรอติดตามผลการประชุมธนาคารสหรัฐ
.
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาขายหุ้นไทยต่อเพื่อรอความชัดเจนผลการประชุมเฟด โดยน่าจะมีแรงขายออกมาในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ค้าปลีกอสังหาฯ ไฟแนนซ์
.
เช่นเดียวกันกับบล. คิงส์ฟอร์ด เปิดเผยว่า การประชุม BOE คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ฝั่งเอเชียเช้านี้ (21 กันยายน) ปรับลดลงราว -0.50% ระหว่างรอผลการประชุมเฟด หากส่งสัญญาณตึงตัวมากกว่าคาด จะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนอีกครั้ง
.
ขณะที่บล.ไอร่า ระบุว่า ปัจจัยในประเทศมองตลาดอาจเผชิญความไม่แน่นอนของทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติในระยะสั้นในแง่ของค่าเงินบาทที่ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญในโซน 37 บาท ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติอาจระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้นเพื่อประเมินทิศทางค่าเงินได้อีกครั้ง
.
บล.เอเซียพลัส มองช่วงที่เหลือของปี เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทย
.
อย่างไรก็ตามตามบล.เอเซียพลัส กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การขึ้นดอกเบี้ยที่ช้ากว่าสหรัฐ เป็นตัวช่วยหนุนให้ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีอยู่ ช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกได้ ดังนั้นหากตลาดหุ้นลงลึกถือเป็นโอกาสทยอยสะสม
.
ทั้งนี้คาดหวัง เงินทุนเคลื่อนย้ายจากประเทศพัฒนา โยกมาตลาดหุ้นกำลังพัฒนารวมถึงไทยต่อ โดยแม้วันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าทะลุ 37 บาท/เหรียญ แต่ เงินทุนไหลออก จากตลาดหุ้นไทยไม่มากเพียง -819 ล้านบาท และฝ่ายวิจัยคาดว่าเงินบาทมีโอกาสชะลอการอ่อนค่าได้
.
พร้อมกับคาดหวัง Fund Flow จะไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปีจาก 2 ส่วน 1. ความเสี่ยงจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในตลาดหุ้นไทยน้อยกว่าสหรัฐ 2. ความคาดหวังการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนจะทยอยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
.
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนสหรัฐเตรียมรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หนุนให้เงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีโอกาสโยกย้ายจากตลาดหุ้นประเทศพัฒนามาตลาดหุ้นกำลังพัฒนา รวมถึงไทยเหมือนกับในช่วงที่ผ่านๆ มา สะท้อนได้จาก 7 เดือนแรกของในปีนี้ ต่างชาติขายสุทธิหุ้นสหรัฐมูลค่ารวม -3.89 หมื่นล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิทุกเดือน ตรงข้ามกับตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิสะสม 4.7 พันล้านเหรียญ (เปลี่ยนแปลงจากต้นปี) และเป็นการซื้อสุทธิถึง 7 ใน 9 เดือน