หุ้น AI รุ่งเรืองแน่หรือที่แท้คือฟองสบู่?
By กฤษฎา บุญเรือง

- หุ้น AI มีแนวโน้มรุ่งเรืองจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, Meta, Microsoft และ Amazon ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงกว่าอุปทาน และกำไรของหุ้นสหรัฐฯ 80% ในปีนี้มาจากบริษัทกลุ่มนี้
- การเติบโตของหุ้น AI ได้รับการสนับสนุนจากการนำไปใช้งานจริงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การบิน, อีคอมเมิร์ซ และการเงิน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างกำไรได้อย่างเป็นรูปธรรม
- มีความกังวลว่าอาจเป็นภาวะฟองสบู่ โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในวงการอย่าง เจฟฟ์ เบซอส เตือนว่ามูลค่าหุ้นอาจสูงเกินจริง และอาจเกิดการล้มครืนได้เหมือนวิกฤตฟองสบู่ดอตคอม หากผลตอบแทนจากการลงทุนไม่คุ้มค่า
- ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการที่ตลาดกระจุกตัว โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 7 แห่งของสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมกันกว่าหนึ่งในสามของดัชนี S&P 500 และซื้อขายในราคาที่สูงกว่ารายได้เฉลี่ยถึง 70 เท่า
- อย่างไรก็ตาม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มองว่าสถานการณ์นี้ไม่น่ากังวลและแตกต่างจากฟองสบู่ยุค 90 เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีรายได้สูงและมีเงินทุนของตนเองในการลงทุน
ผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีนประกาศแน่วแน่ว่าจะทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายตนชนะการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ‘โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI)’ ขณะเดียวกันนักลงทุนทั่วโลกกำลังตื่นเต้นกับการตัดสินใจว่าจะลงทุนกับ AI อย่างไรดี จะว่ากลัวหุ้นฟองสบู่ก็ใช่ แต่กลัวยิ่งกว่านั้นคือ กลัวพลาดขบวนรถไฟของผลกำไรที่มากับการปฏิวัติเทคโนโลยีของมนุษย์ชาติครั้งนี้
ตลาดหุ้นของอเมริกาดีแค่ไหน? ตอนนี้เกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับ AI และบริษัทซึ่งกระจุกตัวอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์ ร้อยละ 80 ของกำไรหุ้นสหรัฐฯในปีนี้มาจากบริษัทปัญญาประดิษฐ์ต่างๆ
บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสี่ของอเมริกาคือ Google, Meta, Microsoft and Amazon แถลงย้ำเพิ่มการลงทุนมหาศาล โดยให้เหตุผลว่าอุปทานไล่ตามอุปสงค์ไม่ทัน ศูนย์ข้อมูล(data centers)สร้างมาเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า
Google, Microsoft และ Amazon ซึ่งเป็นสามผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าพวกเขาไม่มีพลังการประมวลผลเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า แม้ว่าทั้งสามและ Meta จะทุ่มงบประมาณรวมกัน 112,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลก็ตาม ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งสี่บริษัทลงทุนรวมกันมากกว่า 360,000 ล้านดอลลาร์
Google ระบุว่าจะเพิ่มงบประมาณที่วางแผนไว้สำหรับโครงการศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ในปีนี้อีก 6,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ได้ทุ่มงบประมาณไปเกือบ 64,000ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา
Microsoft ระบุว่าได้ใช้งบประมาณไปแล้ว 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสล่าสุด และ Meta ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การใช้จ่ายเป็นอย่างน้อย 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากที่ใช้จ่ายไปในปีที่แล้ว Amazon กล่าวว่าจะ “รุกหนักมาก” ในการเพิ่มศูนย์ข้อมูล และจะทุ่มงบประมาณ 125,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้สำหรับค่าใช้จ่ายด้านทุน และจะทุ่มงบประมาณมากกว่านั้นในปีหน้า
AI รุ่งเรืองแน่ หุ้นจะพุ่งสูงขึ้นอีก?
ความหวังฝากไว้ที่การพัฒนาเทคโนโลยีว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากเพียงใดและรวดเร็วทันใจกับความต้องการของตลาดหรือไม่
บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆโดยเฉพาะในสหรัฐฯและจีน รวมทั้งกลุ่มลงทุนในตะวันออกกลางเชื่อมั่นว่าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ AI ให้มากขึ้น ชิปมากขึ้น ข้อมูลมากขึ้น และพลังงานมีเพียงพอ จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีตามที่คาดหวังไว้ได้อย่างแน่นอน
สิ่งนี้เรียกว่า “สมมติฐานการขยายขนาด (scaling hypothesis)” ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไม Nvidia และ AMD จึงเพิ่งประกาศข้อตกลงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อติดตั้งชิปในศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ทำไม Amazon จึงทุ่มเงินมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ ทำไม Meta จึงทุ่มเงินมากกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีกสามปีข้างหน้า และอื่นๆ
ยอดขายของ Nvidia เพิ่มขึ้น 56 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งอาจหมายถึงการเติบโตที่มากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ราคาหุ้นที่พุ่งสูงและการลงทุนมหาศาล
ประธาน FED Jerome Powell บอกว่า ไม่เป็นห่วงเรื่องการลงทุนในด้านนี้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีรายได้สูงมาก และมีเงินสะสมของตนเองเพื่อการลงทุน ถึงแม้จะมีความเสี่ยง และไม่ควรจะเปรียบเทียบกับฟองสบู่ยุคอินเตอร์เน็ต 1990's
ขณะเดียวกันหลายภาคอุตสาหกรรมได้นำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างจริงจังแล้ว เช่น สายการบินต่างๆใช้บริการเปลี่ยนแปลงการจอง ตอบคำถามของลูกค้า ทำให้พนักงานมีโอกาสใช้เวลาให้บริการอื่นๆที่สับสนและยุ่งยาก บริษัทอีคอมเมิร์ซต่างๆ ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อ การดูย้อนหลัง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล เป็นการเพิ่มรายได้อย่างมากในการขาย หรือบริษัทเครื่องยนต์เจ็ทหรือเครื่องจักรในโรงงานใช้ข้อมูลเซ็นเซอร์คาดความเสียหายของอุปกรณ์ล่วงหน้า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา หรือบริษัทการเงินและบัตรเครดิตต่างๆที่ใช้ระบบอัตโนมัติทำงานซ้ำๆที่มีประสิทธิ์ปริมาณมากประมวลผลใบแจ้งหนี้ สแกนแบบฟอร์มที่เขียนด้วยลายมือ การป้อนข้อมูลและการตรวจสอบการปฎิบัติเพื่อลดเวลาและความผิดพลาดของมนุษย์ หรือการบริหารประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้พลังงาน การจราจร สภาพอากาศ เส้นทางการจัดส่งต่างๆเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของการประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำไรของบริษัทซึ่งนำเทคโนโลยีมาใช้ได้ผลแล้ว
... หรือ หุ้น AI จะเป็นฟองสบู่?
ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและนักลงทุน บางกลุ่มออกมาเตือนว่า หากฝากความหวังกับ AI มากเกินไป แต่การใช้งานในชีวิตจริงไม่ได้ผลเต็มเปี่ยมตามที่หวังไว้ อาจนำมาสู่การล้มครืนได้ เช่นเดียวกับวิกฤตที่เคยผ่านมาในอดีต ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม หรือ ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ไอที (Dot-com bubble หรือ I.T. bubble) เมื่อมี การเก็งกำไรอันเกินควรของตลาดหลักทรัพย์ภาคเทคโนโลยีระหว่าง ค.ศ.1997 ถึง 2000
เหล่าคนดังอย่าง เจฟฟ์ เบซอส (Amazon), แซม อัลท์แมน (OpenAI), เจมี่ ไดมอน (JPMorgan) และเดวิด โซโลมอน (Goldman Sachs) กังวลว่าเรากำลังอยู่ในช่วงขาลง มูลค่าหุ้นกำลังสูงเกินไป และในที่สุดความจริงจะปรากฏ และหากหุ้นบริษัทเหล่านั้นร่วงเศรษฐกิจจะถูกฉุดตามไปด้วย
การลงทุนมากเกินไปแต่ผลตอบแทนที่ออกมายังไม่คุ้ม หรือการเป็นหนี้เพื่อลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี หรือบริษัทที่เป็นลูกค้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ไม่สามารถจะนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางปฏิบัติให้มีกำไรหรือมีประสิทธิภาพได้จริงอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ ก็อาจนำมาสู่ความผิดหวังและจะส่งผลต่อหุ้นที่ร่วงลงอย่างรุนแรงเช่นปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งครั้งนั้น มูลค่าของ Nasdaq ลดลง 75% และกว่าจะฟื้นตัวได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 15 ปี
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ Top 7 ปัจจุบันมีส่วนแบ่งมากกว่าหนึ่งในสามของมูลค่าดัชนี S&P 500 และซื้อขายในราคาที่สูงกว่ารายได้เฉลี่ย 70 เท่า นำมาสู่คำถามว่า นักลงทุนกำลังเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่ ไม่มีอุตสาหกรรมอื่นหรือช่องทางอื่นในการลงทุนที่ดีกว่านี้แล้วหรือ
จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ร้อยละ 77 ของชาวไทยมองว่า AI มีประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งเป็นทัศนคติสูงกว่าประเทศในตะวันตกหลายประเทศ และบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะภาคการเงินได้นำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ส่วนบริษัทสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ต่างๆ ก็กำลังนำมาประยุกต์ใช้ด้วยความกระตือรือร้น คาดว่าการพัฒนาของตลาด AI ในไทยจะมีมูลค่า 114,000 ล้านบาท (ประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)ภายในอีกห้าปีข้างหน้า โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ร้อยละ 28.55 ครับ
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/stock/1207820