ห้องเม่าปีกเหล็ก

“โควิด”ทุบสถิติอสังหาฯ พุ่งสุด - ดิ่งสุด..!!

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
58 views

“โควิด”ทุบสถิติอสังหาฯ พุ่งสุด - ดิ่งสุด..!!

ย้อนรอยมรสุมซัดพอร์ตอสังหาฯไทย เส้นทางเกือบ 30 ปี เผชิญ 3 รัฐประหาร 1 ชุมนุมการเมือง และ 6 วิกฤติเศรษฐกิจ โควิดนับเป็นมรสุมลูกใหญ่ทุบสถิติอสังหาฯมีทั้งติดลบดำดิ่ง และพุ่งเป็นประวัติการณ์

ปรากฏการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) นอกจากความรุนแรงของเชื้อที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน ไวรัสร้ายยังลุกลามบานปลาย ปั่นป่วน” เศรษฐกิจทั่วโลกตลอดทั้งปี 2563 และไปจนถึงปี 2564 ตราบใดที่ยังคิดค้นยารักษา และวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อร้ายได้สำเร็จ 

ผลกระทบของไวรัสไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่ายากดีมีจน ทุกระดับชนชั้นต่างได้รับผลพวงจากความรุนแรงไม่ว่าประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลก สหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป ต่างต้องใช้งบประมาณมหาศาลอัดฉีดเม็ดเงินเพื่ออุ้มเศรษฐกิจหลังยุคโควิด

โควิดยังพลิกไปสู่การเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าสู่ยุคปกติใหม่ หรือ New normal ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับเกมการแข่งขันแบบพลิกกระดาน

ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านมาโควิดสั่นสะเทือนตลาดต้นน้ำ ยันปลายน้ำ  หรือตั้งแต่การพัฒนาโครงการ ไปจนถึงการระบายสต็อกมหาศาล แบบตัดขายขาดทุน เพื่อรักษาสภาพคล่อง ประคองธุรกิจ กลายเป็นอีกบทเรียนสำคัญ” ในหน้าประวัติศาสตร์ธุรกิจนี้ 

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  ย้อนรอยแต่ละช่วงเวลาสำคัญที่เป็น "จุดเปลี่ยน" ส่งผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย

เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2534 รัฐประหาร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จากนั้นเพียง 1 ปีต่อมา (ปี2535) เกิดพฤษภาทมิฬ ชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และปี 2540 วิกฤติต้มยำกุ้ง

ตามมาด้วย ปี 2544 เกิดเหตุการณ์ 11 กันยา หรือ 9/11 เกิดก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสาร พุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด (World Trade Center)

ปี 2547 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ซัดถล่มชายฝั่งประเทศต่างๆ รวมถึงชายฝั่งอันดามันของไทย

ปี 2549 เกิดรัฐประหารพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ปี 2550-2551 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในสหรัฐอเมริกา

ปี 2554 มหาอุทกภัย (น้ำท่วมใหญ่ไทย) ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

ปี 2557 รัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ปีล่าสุด 2563 ไวรัสโควิด -19 เข้ามาโจมตีวิถีชีวิตมนุษย์ สังคมและเศรษฐกิจ สะเทือนไปทุกภูมิภาค ทั่วโลก ทุกระดับชนชั้น และกลุ่มธุรกิจ 

*“โควิดทำอสังหาฯติดลบ

หลังรัฐประหารปี57

โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ได้เทียบกับอัตราการเติบโตภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP) ของประเทศไทย พบว่า ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2551) ปีที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดลบมากที่สุด คือ ปี 2554 น้ำท่วมใหญ่ ติดลบ 20% ขณะที่ในปี 2558 ปีหลังการทำรัฐประหาร (ปี2557-อสังหาฯยังเป็นบวก) ภาคอสังหาริมทรัพย์ติดลบ 9% ปี 2559 ติดลบต่อเนื่อง 8% และปี 2563 ผลกระทบจากโควิดคาดว่าจะติดลบ 10-15%

*"สต็อกพุ่งสูงสุด"เป็นประวัติการณ์

ด้านจำนวนหน่วยเหลือขายในปี 2563 ถือว่า "สูงที่สุด" เป็นประวัติการณ์จากอัตราเหลือขายเคยถึง 3 แสนหน่วย นับตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯได้เก็บสถิติหน่วยเหลือขายตั้งแต่ปี 2547  

โดยพบว่า หน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ปลายปี 2562 เกินสามแสนยูนิต มาอยู่ที่301,098ยูนิตในครึ่งหลังของปี 2563  แม้ว่าในครึ่งแรกของปี2563 จำนวนหน่วยเหลือขายลดลงเล็กน้อย อยู่ที่293,319ยูนิต ก็ตาม

*“อัตราดูดซับต่ำสุดรอบ 5ปี

ขณะที่ "อัตราดูดซับ"(Absorption Rate)ซัพพลายในครึ่งหลังของปี 2563 ประเมินว่าต่ำที่สุดในรอบ ปีหลังจากกำลังซื้อคนลดลง หากอัตราการดูดซับยังลดลงเช่นนี้ จะส่งผลทำให้คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2563 จะมีหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นไปแตะ 319,528ยูนิต คิดเป็นมูลค่า1.4ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยับเพิ่มอีกในสิ้นปี2564มีหน่วยเหลือขาย 328,578 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า1.5ล้านล้านบาท

โดยอัตราดูดซับต่อเดือนที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานตัวเลขย้อนหลังไป2ปี ที่ผ่านมา ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2ปี โดยครึ่งแรกของปี2563 อัตราดูดซับต่อเดือนอยู่ที่2.6%ปรับลงมาอยู่ที่1.7ในช่วงครึ่งปีหลัง2563 ระดับ 1 ไม่ถึง 2 % ถือเป็นอัตราที่ต่ำมากต้องใช้ระยะเวลาในการระบายที่สต็อกยาวนาน 

โดยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในครึ่งหลังของปี2563 ต้องใช้เวลาระบายสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 50 เดือน (ค่าเฉลี่ยปี2561-2562 อยู่ที่ 32เดือน) ส่วนอาคารชุดจะต้องใช้เวลาระบาย57เดือน (ค่าเฉลี่ยปี2561-2562 อยู่ที่ 17เดือน)

*ซัพพลายสร้างเสร็จ

"ติดลบสุด"หลังต้มยำกุ้ง 

ขณะที่ข้อมูลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล หรือ สต็อกสร้างเสร็จใหม่พร้อมอยู่ เมื่อไล่เรียงแต่ละวิกฤติพบว่า ในปี 2540 ช่วงวิกฤติฟองสบู่ มีสต็อกสร้างเสร็จใหม่จำนวน 151,880 ยูนิต และปี 2541 มีสต็อกสร้างเสร็จใหม่ลดลงเหลือ 31,944 ยูนิต หรือลดลงจาก 2540 ในสัดส่วน 56% 

ปี 2550-2551 ช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ยิ่งไม่ส่งผลกระทบกับอสังหาฯไทยมากนัก โดยมีสต็อกใหม่สร้างเสร็จ 75,530 ยูนิต และปีถัดมา 2552 สต็อกสร้างเสร็จใหม่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85,579 ยูนิต

จนกระทั่งปี 2554 วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ทำให้สต็อกสร้างเสร็จใหม่ ร่วงมาอยู่ที่ 81,856 ยูนิต และในปี 2557 มีรัฐประหาร เป็นช่วงขาขึ้นของอสังหาฯ สต็อกสร้างเสร็จใหม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าไปแตะที่ระดับแสนยูนิต

ขณะที่ปี2556 มีสต็อกสร้างเสร็จใหม่ 133,439 ยูนิต และ ปี2557สต็อกลงมาอยู่ที่ 133,439 ยูนิต

กระทั่งล่าสุดในปี 2563 สต็อกสร้างเสร็จใหม่ อยู่ที่ 80,563 ยูนิต ถือเป็นการลดต่ำลงนับจากปี 2550(วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์)มีจำนวน 75,530 ยูนิต โดยอัตราสต็อกสร้างเสร็จดังกล่าว ติดลบ 31% เทียบกับปี 2562 และถือว่าเป็น "การติดลบสูงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติฟองสบู่ ปี2540-2542 ที่มีการติดลบติดต่อกัน ปีจึงฟื้นตัว โดยในปี 2541 ติดลบ 56% และปี 2542 ติดลบ 51% จากนั้นจึงฟื้นตัวเป็นบวกในปีถัดมา วิกฤติปี 2563 เกือบ 30 ปี ไม่มีปีใดที่ติดลบมากเท่ากับปี 2563 ที่เกิดเหตุการณ์โควิด 

“ยอดจดทะเบียนทุบสถิติในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากน้ำท่วมปี 2554  มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นตลอด โดยในปี 2555 มีสถิติที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1.1-1.2 แสนยูนิต แต่โควิด ทำให้สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ใช่จังหวะที่คนจะเข้ามาโอนกรรมสิทธิ์ คนขาดความเชื่อมั่น ปี 2563 จึงมีโครงการสร้างเสร็จลดลง บางโครงการชะลอก่อสร้าง บางโครงการหยุดโครงการก่อสร้างจึงเหลือเฉพาะโครงการที่สร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว” ดร.วิชัย แจกแจง

**ตลาดชิปพอร์ตคอนโดสู่แนวราบ

เมื่อแยกประเภทที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยับพบว่า สถิติซัพพลายที่อยู่อาศัยแนวราบสร้างเสร็จที่ต่ำที่สุดอยู่ในปี 2542 จากนั้นก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ในปี 2554 มีวิกฤติน้ำท่วม จึงทำให้ซัพพลายลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ยังไม่เท่ากับปี 25440 จนกระทั่งปี 2563 วิกฤติไวรัสโควิด ทำให้สต็อกแนวราบกลับไปเกือบเทียบเท่ากับปี 2554 ขณะที่คอนโดมิเนียม ก็เช่นเดียวกัน

ผลจากภาพรวมคอนโดมิเนียมที่มีสต็อกสูงขึ้น ขณะที่เทรนด์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทรัพย์ย้อนกลับมาสู่แนวราบ ส่วนหนึ่งเพราะคนกังวลเรื่องความปลอดภัยการอยู่อาศัยจากวิกฤติโควิด และทำงานที่บ้านมากขึ้น ทำให้อัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ตั้งแต่ไตรมาส ปี 2563 ในประเภทแนวราบ ยังไต่ระดับและสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในระยะ2ปี 

โดยในปี 2562 แนวราบเปิดตัวใหม่ มีจำนวน 43,479 ยูนิต ติดลบ 1.6% แต่คาดว่าในปี 2563 จะมีการเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น ​48,965 ยูนิต เพิ่มขึ้น 12% 

ขณะที่คอนโดมิเนียม มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2562 มีการเปิดตัว 54,769 ยูนิต ลดลง 29% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดว่าปี 2563 จะมีการเปิดตัว 30,443 ยูนิต ติดลบ 44% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ภาพรวม (แนวราบ -คอนโดมิเนียม) ปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 79,408 ยูนิต ติดลบ19.2% เทียบปีก่อนหน้า

*เปิดตัวโครงการใหม่ต่ำสุด5ปี

โดยยอดรวมการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 ต่ำที่สุดในรอบเกินกว่า 5 ปี (ตามที่ศูนย์ข้อมูลฯได้เก็บบันทึกย้อนหลัง) นับจากปี 2558 ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 88, 367 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 50,247 ยูนิต สัดส่วน 48.8% และแนวราบ 38,120 ยูนิต 

**ยอดขออนุญาตก่อสร้างต่ำสุด13 ปี

ด้าน การขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2531 พบว่าวิกฤติโควิด-19 ทำให้มีนักพัฒนาอสังหาฯหวั่นไหวกับสถานการณ์ จนส่งผลให้ปี 2563 มีการขออนุญาตฯ ต่ำที่สุด ในรอบ 13 ปีตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เป็นผลมาจากหน่วยเหลือขายในตลาด (ซัพพลายคงค้าง) มีทิศทางสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงชะลอการขออนุญาตก่อสร้างฯ ในปี 2563 เหลือเพียง 252,578 ยูนิต

“การขออนุญาตก่อสร้างฯ ปี 2563 ลดลงอย่างชัดเจนกลับไปเท่ากับปี 2554 เป็นกราฟปักหัวต่ำกว่า แสนยูนิต ถือว่าทุบสถิติ นักอสังหาฯ ต่างชะลอการวางแผนพัฒนาโครงการ เพื่อรอดูสถานการณ์ โดยเมื่อแยกเป็นคอนโดมิเนียมปักหัวลงชัดเจน ในปี 2563 เหลือเพียง 51,648 ยูนิต ลดลงในรอบ 13 ปี ที่ไม่เคยต่ำถึง หมื่นยูนิตมาก่อน ที่ผ่านมาไต่ระดับแสนยูนิตและเกินแสนยูนิตมาตลอด ส่วนการอนุญาตก่อสร้างแนวราบ ยังอยู่ระดับเส้นค่าเฉลี่ยประมาณ แสนยูนิต โดยในปี 2563 อยู่ที่ 200,930 ยูนิต 

*ยอดโอนฯลดต่ำรอบ 4 ปี

ส่วนยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ พบว่า มีอัตราการโอนฯ ต่ำที่สุดทั้งจำนวนและมูลค่า ในรอบ 4  ปีนับจากปี 2560 ที่มียอดโอนฯ อยู่ที่ 315,102 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 674,116 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในปี 2563 จะมียอดโอนฯ 312,467 ยูนิต และคิดเป็นมูลค่า 673,738 ล้านบาท 

 

*สินเชื่อปล่อยใหม่ติดลบรอบ16ปี

อีกตัวเลขที่น่ากังวลที่จะส่งผลต่ออนาคต ตลาดอสังหาฯ ทุบสถิติอัตราสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลที่ปล่อยใหม่ทั่วประเทศ ย้อนกลับไปกว่า 30 ปี (ตั้งแต่ปี 2531) พบว่า มูลค่าสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาตลอด แม้จะชะลอตัวเล็กน้อยในบางปี 

โดยสินเชื่อติดลบสูงสุดอยู่ในปี 2540 มีการปล่อยสินเชื่อ 202,720 ยูนิต ติดลบ 15% หากเทียบกับปีก่อนหน้า และในปี2541 มียอดสินเชื่อ 103,733 ล้านบาท ติดลบ 48% ในปี 2542 สินเชื่อยังลดลงต่อเนื่องเหลือ 64,301 ล้านบาท ติดลบ 38%

ทั้งนี้หลังจากวิกฤติฟองสบู่ ปี 2540 พบว่ายอดปล่อยสินเชื่ออสังหาฯ ติดลบไม่ถึง 2 หลัก เริ่มตั้งแต่ ปี 2547 วิกฤติสึนามิ สินเชื่อลดลงแต่ไม่มากนัก เพียง 0.8% , ปี 2548 ลดลง 5.1%และในปี 2549 มีรัฐประหาร ติดลบ 5.9% เว้นช่วงมาจนถึงปี 2554 ปี วิกฤติน้ำท่วม ติดลบ 0.4% จากนั้นเป็นต้นมาสินเชื่อก็ไม่เคยดำดิ่งติดลบ เติบโตเป็นบวกมาตลอด 

จนกระทั่งปี 2562 ที่มีมาตรการ LTV มีการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 640,259 ล้านบาท ยอดสินเชื่อติดลบ 8.9%  เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และล่าสุดในปี 2563 วิกฤติโควิด คาดว่าจะมีสินเชื่ออยู่ที่ 542,636 ล้านบาท ติดลบ 15.2% ถือเป็นการติดลบสูงที่สุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2547

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก

 

หญิงแม้น