เงินเฟ้อเดือน ม.ค.เพิ่ม 1.55% สูงสุดในรอบ 28 เดือน เหตุราคาน้ำมัน-สินค้าเกษตรพุ่ง ชี้สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว ประเมินทั้งปีอยู่ในกรอบ 1.5-2.0%
กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศในเดือน ม.ค.2560 อยู่ที่ 100.75 เพิ่มขึ้น 1.55% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.2559 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 28 เดือน นับจากเดือนก.ย.ปี 2557 ที่เงินเฟ้อสูงขึ้น 1.75%
ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือนม.ค.2560 เพิ่มขึ้น 0.75%
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรปรับสูงขึ้น โดยเห็นสัญญาณของเงินเฟ้อตลอดทั้งปีนี้จะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และคาดว่าเงินเฟ้อไตรมาส 1 ปีนี้ อยู่ที่ 1.77%
"เงินเฟ้อขยับขึ้นนั้นเป็นตัวแปรสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศอยู่ในช่วงฟื้นตัวและอัตราที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้สูงจนน่ากังวล”
นางสาวพิมพ์ชนก ยังกล่าวอีกว่า แม้เงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังอยู่ในระดับเป้าหมาย โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้ เงินเฟ้อจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.5-2.0% ภายใต้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.25% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 45-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 35.5-37.5 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งในส่วนของราคาน้ำมันดิบได้ครอบคลุมไปถึงในกรณีที่น้ำมันดิบตลาดโลกปรับขึ้นถึง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว
“การที่เงินเฟ้ออยู่ในช่วงขาขึ้นก็ไม่อยากให้คนตื่นตกใจ เพราะยังอยู่ในระดับตามเป้าหมาย แต่ก็ยอมรับว่าการที่น้ำมันดิบขยับราคาทำให้เงินเฟ้อเพิ่มนั้น จะมีเรื่องของราคาสินค้าปรับขึ้นตามมา ซึ่งจะรายงานนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ติดตามราคาสินค้าอย่างเข้มงวด แต่คงไม่ได้มุ่งหมายที่จะไม่ให้ขึ้นเลย แต่ต้องดูแลไม่ให้สินค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม”
ปรับรายงานคำนวณสินค้าใหม่
นอกจากนี้ ในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.2560 ยังมีการเปลี่ยนปีฐานคำนวณเงินเฟ้อใหม่ โดยใช้ฐานปี 2558 จากเดิมที่ใช้ฐานปี 2554 และมีการปรับปรุงรายการสินค้าที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อลดลงเหลือ 422 รายการ จากเดิม 450 รายการ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
รายการสินค้าที่มีการเพิ่มขึ้นใหม่มีจำนวน 23 รายการ เช่น ส้มตำ เนื่องจากปัจจุบันมีการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนต่อเดือนอยู่ที่ 61.74 บาท หรือคิดเป็นน้ำหนักเงินเฟ้อ 0.31%น้ำปั่นผลไม้/ผัก มีค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนต่อเดือนอยู่ที่ 15 บาท หรือคิดเป็นน้ำหนักเงินเฟ้อ 0.08%
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มน้ำหนักการคำนวณสินค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะผู้บริโภคมีการใช้จ่ายในส่วนนี้สูงขึ้น อย่างค่าอินเทอร์เน็ต รายจ่ายเพิ่มขึ้นมาเป็น 205.18 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน จากปี 2554 ที่มีค่าใช้จ่าย 92.20 บาท ส่วนรายการสินค้าที่ลดลงหรือตัดออก มีจำนวน 51 รายการ เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้จ่ายของประชาชนไม่ถึง 0.01%และราคาไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น แป้งสาลี โซดา ถุงยางอนามัย แฟลชไดรฟ์ ค่าบริการนวดสปา/นวดน้ำมัน มุ้ง เก้าอี้ เป็นต้น
ชี้สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าเงินเฟ้อเดือน ม.ค.2560 มีการขยายตัวสูงสุดรอบ28เดือน อีกทั้งยังคาดว่าแนวโน้มของเงินเฟ้อตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้น ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งสัญญาณดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว แต่อีกขาหนึ่งคือราคาสินค้าก็อาจจะขยับตาม
“กระทรวงฯจะให้ความสำคัญกับการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สินค้าสะท้อนกับต้นทุนที่เป็นจริง โดยปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับขึ้นราคาสินค้า”
นักวิเคราะห์ชี้สูงกว่าคาด
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เงินเฟ้อเดือนม.ค.ที่ออกมาถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพร์ส เพราะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้พอสมควร ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลทางฤดูกาลเนื่องจากปีนี้เทศกาลตรุษจีนอยู่ในเดือนม.ค. ขณะที่ปี 2559 เทศกาลตรุษจีนอยู่ในเดือนก.พ. ประกอบกับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงน่าจะเป็นผลระยะสั้นเท่านั้น และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องของอุปทานหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น(Supply push) ไม่ได้เกิดจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น(Demand pull) จึงไม่น่ามีผลต่อการทำนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
“ดูแล้วน่าจะเร่งตัวขึ้นแค่ช่วงสั้น ไม่น่าจะขึ้นได้แรงต่อเนื่อง เรายังคงมองกรอบเงินเฟ้อในปีนี้อยู่ที่ 1.5-2%”
ราคาพลังงานดันเงินเฟ้อพุ่ง
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประเมินไว้อยู่แล้วว่าเงินเฟ้อในปีนี้จะเป็นทิศทางขาขึ้น และเฉลี่ยทั้งปีน่าจะสูงกว่าระดับ 1.5% ซึ่งการปรับขึ้นของเงินเฟ้อมาจากราคาพลังงานเป็นหลัก ขณะที่อุปสงค์ไม่ได้เพิ่มมากนัก เพราะถ้าดูเงินเฟ้อพื้นฐานแล้วยังคงตัวในระดับต่ำ
“แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าดูเงินเฟ้อพื้นฐานแล้ว ไม่ได้เพิ่มมากนัก สะท้อนว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มมาจากฝั่งของราคา ไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น”
ส่วนความกังวลว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ(Stagflation) หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอแต่เงินเฟ้อสูงขึ้นนั้น นายเชาว์ กล่าวว่า ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ไว้ในปีนี้ขยายตัวที่ 3.3% เท่ากับปีที่ผ่านมา
ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มว่าจะดีกว่าที่คาดไว้ น่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตได้ดีขึ้นด้วย จึงคิดว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะอยู่ในภาวะ Stagflation