ห้องเม่าปีกเหล็ก

ก่อนจะมาเป็น BTS ตำนานหุ้น "Turnaround"

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
74 views

เชื่อว่านักลงทุนรุ่นใหม่มีน้อยคนนักที่จะรู้จัก "หุ้นในตำนาน" ในตลาดหุ้นไทยที่ฝ่าฝันวิกฤตอย่างยากลำบาก ก่อนที่จะกลับมาผงาดกลายมาเป็น "หุ้นลงทุนที่มีปันผลสูง" สร้างความร่ำรวยให้กับนักลงทุนมานักต่อนักแล้ว หุ้นตัวนั้น คือ BTS หรือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

แต่เดิม BTS มีชื่อเดีมว่า TYONG หรือ บริษัท ธนายง จำกัด จดทะเบียนในปี 1968 ซึ่งไม่ได้ทำธุรกิจขนส่งมวลชนในปัจจุบัน แต่ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การนำโดยคีรี กาญจนพาสน์ เหมือนกับพี่ชายของเขา "BLAND" อนันต์ กาญจนพาสน์ ซึ่งเติบโตมาจากธุรกิจจัดจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อ "ไซโก้" ..

ในปี 1991 หุ้น TYONG ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีชื่อเล่นที่คนเล่นหุ้นนิยมเรียกกันว่า "ตี๋หย่ง" ได้ทำโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรก คือ ธนาซิตี้ และอีกสายธุรกิจ คือ สัมปทานเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กทม. บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ซึ่งประมูลได้ในปี 1992 ในสมัยพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในตอนแรก BTSC จะก่อสร้างอู่ซ่อมบำรุงบริเวณพื้นที่สวนลุมพินี แต่ได้รับเสียงคัดค้านเป็นจำนวนมากจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ก็คือสวนจตุจักรในปัจจุบัน โดยในช่วงแรกก่อนเปิดทำการ รถไฟฟ้าสายนี้ใช้ชื่อว่า "รถไฟฟ้าธนายง" ตามชื่อบริษัทที่ได้รับสัมปทาน

ผลการดำเนินเป็นไปอย่างราบรื่นภายใต้การนำของคีรี กาญจนพาสน์ ทั้งสองบริษัทไม่ว่าจะเป็น TYONG หรือ BTSC (ตอนนั้น TYONG ไม่ได้ถือหุ้น BTSC เป็นคนละบริษัทกัน) คีรีมองว่า BTSC เป็นบริษัทที่มีอนาคตมาก แต่ก็ลำบากมากๆด้วยเช่นกัน ทั้งในเรื่องของที่ดินและการก่อสร้าง อย่างไรก็ตามด้วยความเชื่อมั่นในอนาคตของคีรีว่า "รถไฟฟ้า" จะกลายมาเป็น "หัวใจ" ของการเดินทางในกรุงเทพ อย่างแน่นอน แต่แล้วก็เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งซะก่อน

ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ทั้ง TYONG และ BTSC เข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้หุ้น TYONG ถูกพักการซื้อขายออกไป และกลับมาซื้อขายได้อีกครั้งในปี 2006 เพราะบริษัทมีกำไรเป็นครั้งแรกและฐานะทางการเงินที่มั่นคง อย่างไรก็ตามหลังจากกลับมาเข้าเทรดแล้วหุ้น TYONG ก็ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป บริษัทมีธุรกรรมทางธุรกิจและข่าวคราวน้อยมาก ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อว่าบริษัทจะฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้ง BTSC ที่มีความนิยมมากในช่วงแรก แต่ก็ลดลงในช่วงวิกฤตเพราะคนมีนโยบาย "รัดเข็มขัด" คนนั่ง BTSน้อยมาก แถมยังเห็นเป็นของใหม่และแปลก อีกทั้งยังมีเสียงออกมาว่าขึ้นไปได้อย่างไร เดี๋ยวตกลงมาจะทำอย่างไร?

ทั้ง TYONG และ BTSC ต่างประสบกับวิกฤต การปรับโครงสร้างทางการเงินที่แปลกมากในสมัยนั้นก็ได้เกิดขึ้น ยังผลให้ฐานะของทั้ง TYONG รวมถึง BTSC เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการมีหนี้มหาศาล กลายเป็นกลุ่มที่มีเงินสดมหาศาล ถือเป็นหนึ่งในตำนาน Survival Strategies ที่ต้องเล่าขานไปยาวนาน

ปฏิบัติการนี้เรียกว่า ยุทธการ "งูกินช้าง" กล่าวคือ TYONG ประกาศเข้าซื้อกิจการ BTSC จาก
- Siam Capital Developments (Hong Kong) Limited
- กวิน กาญจนพาสน์ โดย Keen Leader Investments Limited
- คีรี กาญจนพาสน์
รวมถึงการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด จากบริษัท สยาม เรลล์ ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น BTSC ในปัจจุบัน จำนวนรวมประมาณ 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวน 95% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BTSC คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยมี บล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

 

การเข้าซื้อ BTSC จะแบ่งการชำระเป็นเงินสดจำนวนประมาณ 20,655.71 ล้านบาท (ประมาณ 51.59% ของค่าตอบแทน) และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทอีกประมาณ 28,166.88 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.688 บาท คิดเป็นมูลค่า 19,378.8 ล้านบาท (ประมาณ 48.41% ของค่าตอบแทน) เพื่อชำระค่าหุ้นแทนการชำระด้วยเงินสด ทั้งนี้ บริษัทจะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน จำนวนรวม 22,000 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระค่าหุ้นในส่วนที่เป็นเงินสด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ภายหลังการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ BTSC เสร็จสิ้น โครงสร้างผู้ถือหุ้นของ TYONG จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ คีรี และกวิน กาญจนพาสน์ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 41.46% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท และมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กองทุนที่บริหารโดย Ashmore Investment Management Limited และกองทุนที่บริหารโดย Farallon Capital Management, L.L.C. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของ BTSC

ต่อมาไม่นาน TYONG ประกาศซื้อหุ้นสามัญของ BTSC จำนวน 5.4% จากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ทั้งหมดของ BTSC โดยชำระค่าหุ้นด้วยการการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 0.60 บาท

เนื่องจาก TYONG เป็นบริษัทที่เล็กกว่า BTSC ทำให้เกิดลักษณะ Reversed Takeover หรือ RTO (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี้ : https://www.set.or.th/th/products/listing/files/RTO_NEW_B.pdf ) มีผลให้ BTSC สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผ่าน TYONG ได้เลย ไม่ต้องทำการขาย IPO ซ้ำอีก

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 หุ้น TYONG ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น BTS เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และย้ายหมวดจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการรถไฟฟ้า แต่ธุรกิจดั้งเดิมของ TYONG ยังอยู่ในกลุ่มของ BTS ซึ่งมีคีรี กาญจนพาสน์ นั่งเป็น CEO อยู่ ได้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม แต่ก็เทียบเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการให้บริการรถไฟฟ้า ต่อมา BTS ก็มีการขยายไปยังธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจโฆษณาบนรถไฟฟ้าผ่าน VGI ธุรกิจสมาร์ทการ์ดซึ่งได้ขายหุ้น 10% ไปให้กัยธนาคารกรุงเทพบางส่วน

กระบวนการ RTO จะสำเร็จได้ จะต้องทำการเพิ่มทุน TYONG ให้ได้ก่อน ซึ่งทางบริษัทได้ออก Warrant โดยไม่คิดมูลค่า ให้แก่ผู้ลงทุนทุกรายที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าว ในอัตราส่วน 4 หุ้นเพิ่มทุนที่จองซื้อ ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิมีอายุ 3 ปี สามารถเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกได้เมื่อครบ 2 ปี นับจากวันที่ออก มีราคาใช้สิทธิที่ 0.70 บาท ต่อหุ้น ทั้งนี้คีรี และกวิน กาญจนพาสน์ ได้แสดงความประสงค์ที่จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วน เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท

เมื่อดีลหลายๆอย่างดำเนินไปหลายปี ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ โครงสร้างรายได้ และฐานะการเงินของ TYONG หรือ BTS เปลี่ยนไปในทางดีขึ้น กำไรจากเดิมที่เคยขาดทุนประมาณปีละ 165 ล้านบาท ก็จะพลิกฟื้นเป็นกำไรสุทธิที่ 700 ล้านบาท โดยมีบริษัทโฆษณา VGI Global Media สร้างผลกำไรจากธุรกิจโฆษณานอกบ้าน (Out of Home Media) ได้มากถึง 58% ของกำไรสุทธิทั้งหมด รองมาก็คือกำไรจากธุรกิจรถไฟฟ้า

ด้วยเหตุนี้ ฐานะการเงินก่อนปรับโครงสร้างหนี้ BTSC ที่เคยติดลบ 16,247 ล้านบาทและมีภาระหนี้สินสูงมาก 59,834 ล้านบาท แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟูได้มีการปรับโครงสร้างหนี้โดยการชำระหนี้เป็นเงินสดรวมราว 23,514 ล้านบาท แปลงหนี้เป็นทุน อีก 16,339 ล้านบาท และปลดภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยราว 19,343 ล้านบาท ภายหลังออกหุ้นกู้จำนวน 11,873.63 ล้านบาทในปี 2552 จึงทำให้บริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงได้สูงถึง 47,359 ล้านบาท เหลือเพียง 12,475 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 38,703 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2010

ต่อมาในปี 2012 BTS ก็ได้ประกาศข่าวฮือฮาอีกครั้งนั้นคือการเปลี่ยนราคาพาร์ใหม่จากเดิมหุ้นละ 0.64 บาท มาเป็นหุ้นละ 4 บาท และจำนวนหุ้นจะลดลงจากเดิม 74,815 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 0.64 บาท) เป็น 11,970 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 4 บาท) ทั้งนี้การรวมหุ้น (อัตรา 6.25 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่) และเปลี่ยนพาร์ดังกล่าว กรณีมีเศษหุ้นเดิมเหลือจากการคำนวณ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะแปลงเป็นหุ้นใหม่ BTS จะตัดเศษหุ้นเดิมทิ้ง โดยจะจ่ายเงินชดเชยค่าเศษหุ้นเดิมที่ถูกตัดทิ้งในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท ทำให้ราคาหุ้น BTS เคลื่อนที่หวือหวามากในเวลานั้น แต่เดิม BTS เป็นหุ้นที่มีจำนวนเยอะมากและหนัก ราคาหุ้นจึงเล่นต่ำกว่าบาท แต่เมื่อมีการรวมพาร์เกิดขึ้น หุ้น BTS จะไม่หนักอีกต่อไป สามารถเล่นให้มากกว่าบาทได้ จึงตกเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรอย่างรุนแรง วันไหนที่บวก ตลาดก็จะมองบวกว่า BTS จะกลับมามีอนาคตได้อีกครั้ง แต่ถ้าวันไหนลบ ตลาดก็จะมองว่า BTS เมื่อรวมพาร์แล้วอาจจะกลับมาเล่นต่ำกวาบาทได้ นั้นคือสถานการณ์เวลานั้น

เมื่อเวลาผ่านไป พัฒนาการของ BTS เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่คีรี กาญจนพาสน์ มองไว้ว่ารถไฟฟ้าจะกลายมาเป็นหัวใจสำหรับการเดินทางของคนกรุงเทพ ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
- ธุรกิจโฆษณา VGI ก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- ธุรกิจอสังหาก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เข้าซื้อ U ร่วมมือกับแสนสิริพัฒนาคอนโดระดับหรู
- ธุรกิจสมาร์ทการ์ดก็เริ่มกลับมามีกำไร Rabbit Card มีการร่วมมือกับบริษัท LINE มาเป็น Rabbit LINE Pay กระเป๋าเงินออนไลน์
- และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ส่งให้ BTS กลายมาเป็นหุ้นปันผลเยี่ยม นั้นคือการออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF ที่ทำให้ BTS พื้นฐานและภาพลักษณ์เปลี่ยนไปตลอดกาล

ปัจจุบัน BTS ได้กลายเป็นเป้าหมายของนักลงทุน กองทุนสถาบัน นักลงทุนVI นักเก็งกำไรในปัจจัยพื้นฐาน ในฐานะของหุ้นปันผลดีและพื้นฐานเด่น ไม่เพียงแค่รถไฟฟ้ากลายเป็นหัวใจของการเดินทาง แต่ได้กลายเป็น Iconic ที่สำคัญของกรุงเทพมหานครไปแล้ว คนอยากจะเดินทางก็ต้องใช้ BTS ซื้อคอนโด ซื้อบ้านก็ต้องใกล้กับ BTS ห้างสรรพสินค้าก็ต้องติดกับ BTS เป็นต้น และธุรกิจของ BTS เองก็จะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใช้ไม่ว่าจะอีก 10 ปี หรือ 100 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน หรือว่าไม่จริง ?

---------------------

เขียนโดย : SiTh LoRd PaCk

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

https://th.wikipedia.org/wiki/รถไฟฟ้าบีทีเอส

http://www.btsgroup.co.th/th/about_us_history.php

https://www.set.or.th/th/products/listing/files/RTO_NEW_B.pdf

http://www.ryt9.com/s/iq05/897133

https://www.facebook.com/SetStockNews/posts/751901978190817

http://info.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=88355

http://www.newswit.com/gen/2006-12-19/7f4a3f44818a50130d4c478eb8c5ac66/


SiTh LoRd PaCk