ห้องเม่าปีกเหล็ก

เทรดวอร์ปะทุรอบใหม่ เศรษฐกิจโลกผวา–หุ้นไทยไตรมาส 2 เสี่ยงซึมต่อ

โดย dave
เผยแพร่ :
65 views

เทรดวอร์ปะทุรอบใหม่ เศรษฐกิจโลกผวา–หุ้นไทยไตรมาส 2 เสี่ยงซึมต่อ

 

บล.เอเซีย พลัส ชี้สงครามการค้ารอบใหม่ เศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย ฉุดหุ้นไทยรับผลกระทบ แนะนักลงทุนหันหาหุ้นปันผลลดความผันผวน

 

 

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นับว่าครั้งล่าสุดนี้จะรุนแรงเป็นประวัติการณ์ หลังตอบโต้กันไปมาผ่านการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ซึ่งเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีแรกจากสงครามการค้า

ทำให้ตลาดมองความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ สูงขึ้น และมีแนวโน้มหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจลงเพิ่มเติมทั้งในและนอกสหรัฐฯ สำหรับตลาดการเงินกลับมาให้น้ำหนักมากขึ้นที่ธนาคารกลางหสรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้

ขณะที่ตลาดการเงินมองว่าธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BoJ) มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีนี้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยน (JPY) กลับแข็งค่าขึ้น ต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว สะท้อนบทบาทสกุลเงิน Safe-Haven สอดรับกับเครื่องชี้ภาวะ Risk off อื่นๆ

ในระยะสั้นมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นต่อประเทศคู่ค้า (ยกเว้นจีน) ในเรื่องสงครามการค้า หลังสหรัฐฯ ได้มีการผ่อนผันภาษีตอบโต้ 90 วัน แต่ยังต้องเฝ้าระวังอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการขู่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม อาทิ Pharmaceutical และ Semiconductor

โดยเป้าหมายดัชนี S&P500 ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าและความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย โดยในปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมากกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1990 ที่ดัชนีมีการปรับตัวลงตั้งแต่ 10% ขึ้นไป

แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปรับตัวลงอยู่ในช่วงกรอบบนของภาวะตลาดหมีในอดีต ทั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวโน้มการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และการที่สหรัฐฯ โดนโต้ตอบจากคู่ค้า

รวมถึงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และอาจเข้าสู่ภาว ถดถอย หุ้นกลุ่มพื้นฐานดีที่เน้น Domestic / Defensive / Dividend เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่มีอยู่สูงและความเสี่ยงด้านต่ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้ ต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจลุกลามไปนอกเหนือจากภาษีทางด้านการค้า ความเสี่ยงหนี้สาธารณะชนเพดานของ สหรัฐฯ รวมทั้งแผนปรับลดภาษีของสหรัฐฯ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น ทางฝ่ายประเมินภาพในช่วงไตรมาสที่ 2/68 ที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกยุค TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว

โดยคาดสหรัฐฯ จะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป กดดัน GDP โลกปี 68 โตต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ดี แรงกดดันจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน ซึ่งอาจหนุนให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงสั้นได้

ขณะที่มุมนโยบายการเงินสหรัฐฯ แม้ FED ส่งสัญญาณ Hawkish เพิ่มขึ้น แต่ในปีนี้ตลาดมองมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 3 – 4 ครั้ง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอลง ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 ประเมินเบื้องต้นอาจกดดันให้ GDP ประเทศไทยชะลอลง

คาดว่าตัวเลขมีโอกาสต่ำกว่า 2.0% จากหลายปัจจัยกดดันทั้งการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในตลาดสินค้าโลก ซึ่งจะกระทบ ต่อภาคส่งออกไทยโดยตรง และการลงทุนทางตรงของต่างชาติที่มีความไม่แน่นอนสูง กดดันให้มูลค่า FDI/ BOI มี แนวโน้มลดลง

กนง.ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.75%

นายเทิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว น่าจะเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลังที่มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มกรอบวินัยการคลัง จากหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP ให้สูงขึ้น และนโยบายการเงิน

ซึ่งน่าจะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง เหลือ 1.75% ในการประชุมรอบ 30 เม.ย.68 โดยการดอกเบี้ยลง 25 BPS. ขณะที่ Downside ของ EPS 68 ของบริษัทจดจะเบียนไทยยังมีเปิดอยู่ จากราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มขาลง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ การส่งออก

ส่วนตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 1/68 ย่อตัวลงมาลึกเกินไป โดย RETURN (QTD) -15% จนมี VALUATION ถูก มี PBV68F 1.0 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (MSCI WORLD 2.97 เท่า) และ SET มี DIVIDEND YIELD 68F สูง 4.4% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และคาดหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวได้

SET Index ปลายปี 68 ที่ 1,424 จุด

ทางฝ่ายประเมินเป้าหมายดัชนีปลายปี 68 แบบอนุรักษ์นิยม (CONSERVATIVE) ภายใต้ EPS68F ที่ 89 บาทต่อหุ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2% อิง MEYG 4.5% (+1 SD) ได้ดัชนีเป้าหมายปี 68 ที่ 1,424 จุด ส่วนแนวรับทาง พื้นฐานภายใต้ EPS68F ที่หัก Downside จากค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ WTI ในปีนี้ที่ถูกกว่าปีก่อนหน้าราว 10 เหรียญฯ

ดังนั้น จะเหลือ 80 บาท/หุ้น และอิง MEYG 5.8% (ระดับสูงสุดตลอดกาล) จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1026 จุด แต่ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง เหลือ 1.75% จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1060 จุด 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นอันดับ 1 อุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์เห็นว่าแข็งแกร่ง และมี High Dividend Yield บวกกับ Profit Growth ปี 68-69 อย่างเช่น หุ้น SCC, CPALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP และ BBL เป็นต้น


 

ที่มา.. https://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/625670

 


dave