ห้องเม่าปีกเหล็ก

รื้อแท่นผลิตปิโตรเลียม รัฐใช้ไม้แข็งระวังค่าโง่

โดย poomai
เผยแพร่ :
66 views

รื้อแท่นผลิตปิโตรเลียม รัฐใช้ไม้แข็งระวังค่าโง่

 

รายงาน

 

เป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ จะต้องเข้ามาทำความกระจ่าง กรณีการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณและบงกช ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ที่จะหมดอายุสัมปทานในช่วงปี 2565-2566 ในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งติดตั้งที่ต้องส่งมอบให้กับรัฐ จำนวนกว่า 300 แท่นที่รัฐกำหนดให้ผู้รัปสัมปทานรับผิดชอบค่ารื้อถอนด้วย

ทั้งนี้ผู้รับสัมปทานรายเดิม (ซึ่งรวมถึงเชฟรอนซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานในแหล่งเอราวัณในปัจจุบันและโททาลผู้ถือหุ้นในแหล่งบงกช) อาจจะใช้ช่องทางการยื่นฟ้องต่ออนุญาโต ตุลาการ กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมที่จะต้องจ่ายค่าหลักประกันการรื้อถอนในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งติดตั้งที่ต้องส่งมอบทั้ง 2 แหล่งเต็มจำนวน เนื่องจากเห็นว่าแท่นผลิตปิโตรเลียมที่ส่งมอบให้รัฐไปแล้ว และรัฐนำไปใช้ประโยชน์ต่อจึงไม่ใช่หน้าที่ที่ผู้รับสัมปทานรายเดิมต้องไปรับภาระในการรื้อถอนส่วนนี้

ทางออกของเรื่องนี้ จึงขึ้นอยู่กับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ผู้รับสัมปทานรายเดิม รวมถึงผู้รับสัมปทานรายใหม่ที่ชนะการประมูลที่มารับช่วงผลิตต่อ จะต้องเจรจากันให้ได้ข้อยุติภายในสิ้นปีนี้ ไม่เช่นนั้นการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวจากแหล่งเอราวัณจะมีความเสี่ยงที่จะสะดุดช่วงรอยต่ออย่างแน่นอน

 

 

รัฐไม่ยอมอ่อนข้อให้

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพราะมุมมองของรัฐและ เอกชนผู้รับสัมปทาน มีความเห็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแตกต่างกัน โดยฝ่ายรัฐยังใช้ไม้แข็ง ที่ต้องการให้เอกชนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งติดตั้งที่ต้องส่งมอบ และวางหลักประกันการรื้อถอนเต็มจำนวนให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2562หรือ 120 วันนับตั้งแต่มีหนังสือแจ้งไป แต่ฝั่งผู้รับสัมปทานเห็นว่าไม่มีหน้าที่ตามสัมปทานในการรื้อถอนในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งติดตั้งที่ต้องส่งมอบ และไม่เป็นธรรมหากจะต้องวางหลักประกันทั้งหมดเต็มจำนวน

 

เอกชนไม่ยอมแบกภาระ

ขณะที่ผู้รับสัมปทานได้โต้แย้งชี้ให้เห็นว่า กรณีตัวอย่างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นลักษณะการให้สัมปทานระยะยาวที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน และโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญา หรือ BOT (Build Operate and Transfer) อย่างเช่นทางด่วน หรือการเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อทำโรงแรมและห้างสรรพสินค้า ของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น ถ้ารัฐเลือกที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น รัฐก็จะต้องจ้างรายอื่นมาบริหารจัดการทรัพย์สินเอง โดยไม่ใช่ภาระความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานรายเดิมที่จะต้องมาช่วยบริหารจัดการอีก ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับสัมปทานปิโตรเลียม เอกชนผู้รับสัมปทานก็ไม่ควรจะต้องรื้อถอนในทรัพย์สินที่โอนให้กับรัฐ

สอดรับกับนายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นผู้ครํ่าหวอด
ในวงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมายาวนาน ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้มีศักยภาพปิโตรเลียมสูงมากจนคิดจะออกหลักเกณฑ์อะไรก็ได้ โดยไม่สนใจนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงท้ายปลายของสัมปทานที่ปริมาณสำรองปิโตรเลียมร่อยหรอลง หาก
จะมีการเปิดให้เอกชนเข้ามาทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ก็ควรจะต้องสร้างเงื่อนไขและบรรยากาศที่ดึงดูดนักลงทุน

 

จี้เจรจาให้ได้ข้อยุติ

ทั้งนี้ การรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียม หากรัฐยังใช้ไม้แข็ง ยึดข้อกฎหมาย ที่เขียนเพิ่มเติมมาบังคับใช้ปี 2559 หลังจากผู้รับสัมปทานได้ดำเนินการผลิตไปมากกว่า 30 ปีแล้ว ก็เชื่อว่าเรื่องนี้คงถึงมืออนุญาโตตุลาการ ที่จะเป็นคนกลางมาตัดสินตามสัญญาสัมปทานที่เปิดช่องไว้ให้ และหากเรื่องเข้าสู่กระบวนการดังกล่าวจริง บอกได้เลยว่าไม่เกิดผลดีกับทุกฝ่าย

ถ้าจะให้เรื่องยุติลงได้ ไม่มีประเด็นค่าโง่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ควรจะต้องตั้งโจทย์นโยบายให้ชัดบนพื้นฐานความเป็นธรรม และเคารพในข้อตกลงที่รัฐและเอกชนได้ทำไว้ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะตัวแทนรัฐเดินหน้าเจรจาอย่างเต็มที่ และหาข้อสรุปที่ได้จากการเจรจา นำเสนอเป็นมติเห็นชอบจากคณะกรรมการปิโตรเลียม และคณะรัฐมนตรีมารองรับซึ่งยังมีเวลาพอที่จะเจรจากันได้ เพราะกฎกระทรวงเปิดช่องให้อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มีอํานาจพิจารณาตกลงเป็นอย่างอื่นได้

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai