ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปมหากาพย์เดือด "ทรัมป์ vs มัสก์" จากเพื่อนรักสู่ศัตรูหมายเลข 1 พลิกขั้วอำนาจ

โดย จอมมาร
เผยแพร่ :
117 views

สรุปมหากาพย์เดือด "ทรัมป์ vs มัสก์" จากเพื่อนรักสู่ศัตรูหมายเลข 1 พลิกขั้วอำนาจ | Podcast Available

 

ประวัติศาสตร์มักถูกขับเคลื่อนโดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่สองประเภทคือ ผู้สร้างอาณาจักร และผู้ทำลายล้างกฎเกณฑ์เดิมๆ แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อบุคคลทั้งสองประเภทนี้คือคนสองคนที่จับมือเป็นพันธมิตรกัน?

เรื่องราวของ Donald Trump และ Elon Musk คือคำตอบของคำถามนั้นค่ะ ฉากเปิดเรื่องของเราไม่ได้อยู่ในห้องประชุมที่โอ่อ่า หรือในห้องทดลองแห่งอนาคต แต่อยู่ท่ามกลางความโกลาหลของวันที่ 13 กรกฎาคม 2024 ณ เวทีหาเสียงในเพนซิลเวเนีย เสียงปืนที่ดังขึ้นและภาพของ Donald Trump ที่รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารอย่างหวุดหวิด ได้กลายเป็นจุดชนวนที่เปลี่ยนทิศทางการเมืองอเมริกันไปตลอดกาล

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น Elon Musk เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้มีประวัติทั้งรักทั้งชังกับ Trump มาโดยตลอด ได้ทวีตข้อความที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก โดยเขาได้ประกาศสนับสนุน Donald Trump อย่างเป็นทางการและสุดตัว

คำถามที่ดังกระหึ่มจากวอลล์สตรีทสู่ซิลิคอนวัลเลย์ในวันนั้นคือ… ทำไมอัจฉริยะผู้เคยวิจารณ์ Trump ว่า “ไม่ใช่คนที่เหมาะสม” ถึงยอมเดิมพันทุกอย่างไว้กับผู้นำขั้วขวาจัด?

คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าที่เห็นค่ะ มันคือส่วนผสมของความรู้สึกถูกหักหลังจากรัฐบาลชุดก่อน, อุดมการณ์ต่อต้าน “ไวรัสความคิดตื่นรู้” ที่ฝังรากลึก และวิสัยทัศน์แบบลิเบอร์เทเรียนที่มองว่าระบบราชการของวอชิงตันคือมะเร็งร้ายที่ต้องผ่าตัดทิ้ง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวดราม่าของสองอภิมหาบุรุษ แต่คือจุดเริ่มต้นของเกมอำนาจที่เดิมพันด้วยอนาคตของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเทคโนโลยี เงินทุน และการเมืองหลอมรวมกันจนกลายเป็นสมรภูมิที่อันตรายและคาดเดายากที่สุดแห่งศตวรรษ

 

ฮันนีมูนสีเลือด (กรกฎาคม – พฤศจิกายน 2024)

ช่วงเวลา 4 เดือนหลังจากนั้นคือยุคทองของพันธมิตร Trump-Musk อย่างแท้จริง บรรยากาศในวอชิงตัน ดี.ซี. เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หากชัยชนะของ Trump ในปี 2016 ขับเคลื่อนด้วยพลังของชนชั้นกลางที่ถูกลืม ชัยชนะในปี 2024 ก็ถูกอัดฉีดด้วย “เชื้อเพลิงจรวด” จากซิลิคอนวัลเลย์

กระแสเงินทุนจากมหาเศรษฐีและกลุ่มทุนเทคฯ ไหลเข้าสู่แคมเปญของ Trump ผ่านองค์กร PACs (Political Action Committees) อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยตัวเลขที่ถูกเปิดเผยภายหลังได้สร้างความตกตะลึงให้กับสาธารณะ โดย Musk และเครือข่ายของเขาได้ทุ่มเงินสนับสนุนไปกว่า $250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เทียบเท่ากับงบประมาณรายปีขององค์การนาซาในการพัฒนายานสำรวจดาวอังคารเลยทีเดียว

เงินทุนมหาศาลนี้มาพร้อมกับแนวคิดปฏิวัติวงการที่ชื่อว่า “Department of Government Efficiency (DOGE)” แผนกพิเศษที่ Musk วาดฝันและนำเสนอต่อ Trump ด้วยตัวเอง มันคือสัญญาใจที่ว่าหาก Trump กลับสู่ทำเนียบขาว Musk จะขอเข้ามาเป็น “มือผ่าตัด” ระบบราชการที่อุ้ยอ้ายและสิ้นเปลืองของอเมริกา

ภาพของ Musk สวมหมวก “Make America Great Again” ยืนเคียงข้าง Trump บนเวทีปราศรัยที่โอไฮโอ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยใหม่ พลังของ X (Twitter) ในมือ Musk กลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อที่ทรงพลังยิ่งกว่าสถานีโทรทัศน์ทุกช่องรวมกัน เขาสามารถชี้นำประเด็นข่าวสาร, โจมตีคู่แข่ง และปลุกระดมผู้สนับสนุนหลายสิบล้านคนได้ด้วยปลายนิ้ว

“ถ้าไม่มีผม Trump คงแพ้การเลือกตั้งไปแล้ว และพรรคเดโมแครตจะครองสภา” Musk กล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับคนใกล้ชิดหลังชัยชนะถล่มทลายของ Trump ในเดือนพฤศจิกายน คำพูดนี้ไม่ใช่แค่ความโอ้อวด แต่คือการตอกย้ำสถานะ “ผู้สร้างราชา” (Kingmaker) ที่รอวันยื่นใบแจ้งหนี้

 

เกมชิงบัลลังก์ในทำเนียบขาว (มกราคม – พฤษภาคม 2025)

ต้นปี 2025, Musk ในฐานะหัวหน้าทีม DOGE และที่ปรึกษาพิเศษของประธานาธิบดี มีอำนาจเข้าออกห้องทำงานรูปไข่ ได้อย่างอิสระยิ่งกว่ารองประธานาธิบดีบางคนในอดีต แพลตฟอร์ม X ของเขากลายเป็นเหมือน “ไมโครโฟนที่ไม่เป็นทางการของทำเนียบขาว” เขาไม่จำเป็นต้องรอการแถลงข่าว แต่สามารถทวีตนโยบายหรือคำสั่งโดยตรงจากใจกลางอำนาจ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินและแวดวงข้าราชการ

ภาพที่นักลงทุนและนักข่าวการเมืองจดจำได้ดีที่สุดคือโพสต์หนึ่งของ Musk ที่ถ่ายจากมุมสูงของอาคารบริหารไอเซนฮาวร์ พร้อมแคปชันว่า “กำลังทำความสะอาดครั้งใหญ่ในบ้านหลังนี้ #DOGE” โพสต์นั้นโพสต์เดียวส่งผลให้หุ้นกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาของรัฐบาลดิ่งลงระนาว ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีป้องกันประเทศและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งสูงขึ้น

การทำงานของ DOGE ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยมเหมือนวัฒนธรรมของ Tesla มีการสั่งยุบโครงการที่ไม่ทำเงิน, ปลดข้าราชการนับหมื่นตำแหน่ง และนำระบบ AI เข้ามาแทนที่ในงานเอกสาร นี่คือยุคที่เส้นแบ่งระหว่างอำนาจรัฐ (State-power) และอำนาจแพลตฟอร์ม (Platform-power) เลือนรางจนแทบแยกไม่ออก และนักลงทุนทั่วโลกต่างตั้งคำถามเดียวกันว่า ตลาดหุ้นกำลังเดิมพันอยู่กับอารมณ์ของใครกันแน่? ประธานาธิบดี หรือ CEO?

 

สัญญาณร้าวบน “ใบเสร็จที่งดงาม”

แต่สวรรค์มักอยู่ไม่นาน...

พฤษภาคม 2025, ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทานเริ่มปรากฏรอยร้าวแรก เมื่อทำเนียบขาวเปิดตัวร่างกฎหมายงบประมาณฉบับประวัติศาสตร์ที่ Trump ตั้งชื่อให้เองว่า “Big, Beautiful Bill”

มันคือหัวใจของนโยบายในวาระที่สองของทรัมป์ ซึ่งเป็นทั้งแพ็กเกจลดหย่อนภาษีครั้งมโหฬารสำหรับภาคธุรกิจและชนชั้นกลาง ควบคู่ไปกับการเพิ่มงบประมาณด้านการทหารและความมั่นคงชายแดน

แต่เพื่อหาเงินมาโปะการลดภาษีครั้งใหญ่นี้ สิ่งที่ต้องถูก “เชือด” คือเงินอุดหนุนและเครดิตภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงอาณาจักร Tesla ของ Musk

ทันใดนั้น Musk ผู้ซึ่งเพิ่งลงจากตำแหน่งในรัฐบาลได้ไม่นาน ก็ได้เปิดฉากโจมตีร่างกฎหมายนี้ผ่าน X อย่างไม่ไว้หน้า โดยเขาเรียกมันว่าเป็น “สิ่งที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง” (disgusting abomination) และเป็น “ใบเสร็จที่เต็มไปด้วยไขมันหมูสิ้นเปลือง” (pork-filled bill) พร้อมแนบตัวเลขจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ที่คาดการณ์ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอีก $2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในทศวรรษข้างหน้า

“นี่คือการทรยศต่อทุกสิ่งที่ DOGE พยายามทำมา” เขาทวีตอย่างเกรี้ยวกราด “เราลดไขมันไปหลายแสนล้าน เพื่อให้พวกนักการเมืองเอางบไปสร้างไขมันก้อนใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมงั้นหรือ?”

 

นี่คือสัญญาณแรกที่ชัดเจนว่า “ฮันนีมูน” ได้จบลงแล้ว และสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น

 

5 มิถุนายน 2025 – วันโลกาวินาศ

และแล้ววันแตกหักก็มาถึง... วันที่ประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันต้องจารึกไว้

ณ เวลา 10 โมงเช้า (เวลาวอชิงตัน ดี.ซี.) ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับผู้นำเยอรมนีในห้องทำงานรูปไข่ Trump ถูกนักข่าวถามถึงความขัดแย้งกับ Musk โดยเขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาขุ่นเคืองว่า “ผมผิดหวังในตัว Elon มาก... ผมช่วยเขาไว้เยอะ แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้ว เขาแคร์แค่เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าของเขาเท่านั้น”

12:30 น. เพียงสองชั่วโมงครึ่งให้หลัง Trump โพสต์ข้อความที่เปรียบเสมือนการประกาศสงครามลงบน Truth Social - “วิธีประหยัดงบที่ง่ายที่สุด คือการยกเลิกเงินอุดหนุนและสัญญาทุกฉบับของรัฐบาลที่มีต่อ Elon ทั้งหมด! ทั้ง Tesla, SpaceX, Starlink เอาให้หมด!”

13:00 น. ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทตอบสนองทันทีเหมือนโดนน้ำร้อนสาด ห้องค้าหลักทรัพย์ของ NYSE ปั่นป่วน หุ้น Tesla ดิ่งลง 14% ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง มูลค่าตลาดหายไปกว่า $150,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว นับเป็นมูลค่าที่มากกว่า GDP ของประเทศฮังการีทั้งประเทศ และมากกว่างบประมาณทั้งหมดของโครงการอพอลโลที่ส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์

14:15 น. ที่สำนักงานใหญ่ของ X ในซานฟรานซิสโก Musk โต้กลับด้วยอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเขาซึ่งก็คือ แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้หลายร้อยล้านคน เขาทวีตข้อความสั้นๆ ที่ทรงพลังและทำลายล้างที่สุดว่า “#ImpeachTrump

15:00 น. ยังไม่จบแค่นั้น Musk ทวีตต่อเนื่อง ประกาศว่า SpaceX จะเริ่มกระบวนการ “ทบทวนความปลอดภัยและพิจารณาปลดระวางยานอวกาศ Dragon” ที่ใช้ในภารกิจของ NASA โดยอ้างถึง “ความไม่แน่นอนของนโยบายจากรัฐบาล” ซึ่งเท่ากับเป็นการจับเอาโครงการอวกาศของสหรัฐฯ ทั้งหมดมาเป็นตัวประกัน

สงครามได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ไม่มีทางหวนกลับอีกต่อไป

 

เศษซากแห่งการต่อสู้ และสมการใหม่

วันที่ 5 มิถุนายน 2025 ไม่ได้จบลงแค่ตัวเลขสีแดงฉานบนจอหุ้น แต่ได้ทิ้งเศษซากของความไว้วางใจและเสถียรภาพที่พังทลายไว้เบื้องหลัง แรงกระเพื่อมจากการปะทะกันของสองมหาอำนาจได้แผ่ขยายออกไปเหมือนคลื่นสึนามิ เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของทุกสิ่งที่มันพัดผ่านอย่างถาวร

 

สงครามกลางเมืองในพรรครีพับลิกัน

ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการปะทะ พรรครีพับลิกันก็เข้าสู่ภาวะ “สงครามกลางเมือง” อย่างไม่เป็นทางการ โทรศัพท์ในห้องทำงานของเหล่าสมาชิกสภาคองเกรสในกรุงวอชิงตันดังไม่หยุดหย่อน พวกเขาถูกบีบให้ต้องเลือกข้างในสมรภูมิที่ไม่มีทางชนะ

ฝ่ายภักดีทรัมป์ (The MAGA Loyalists): สำหรับ ส.ส. และ ส.ว. ในรัฐฐานเสียงอนุรักษ์นิยม การอยู่ข้าง Trump คือการอยู่รอดทางการเมือง พวกเขามองว่า Musk คือ “มหาเศรษฐีชายฝั่งทะเล” (Coastal Elite) ที่เนรคุณและพยายามจะใช้เงินเพื่อบงการนโยบายของประเทศ การโจมตี Musk กลายเป็นการแสดงความภักดีต่อผู้นำและฐานเสียงของตน “เราถูกเลือกมาโดยประชาชน ไม่ใช่มหาเศรษฐีคนเดียว” ส.ว. คนหนึ่งจากรัฐทางใต้ให้สัมภาษณ์กับ Fox News

ฝ่ายเหยี่ยวหนี้สิน (The Debt Hawks): ในอีกมุมหนึ่ง กลุ่ม ส.ว. สายอนุรักษ์นิยมทางการคลังและลิเบอร์เทเรียน เช่น แรนด์ พอล และ ไมค์ ลี กลับมองว่า Musk คือวีรบุรุษที่กล้าลุกขึ้นมาพูดความจริงเรื่องหนี้สาธารณะที่กำลังจะล่มจมประเทศ พวกเขารู้สึกอึดอัดกับนโยบายใช้จ่ายเกินตัวของ Trump มานานแล้ว และการเคลื่อนไหวของ Musk คือโอกาสทองในการสร้างแนวร่วมต่อต้าน

“Elon ไม่ได้พูดเพื่อ Tesla เขาพูดเพื่อลูกหลานของเราที่จะต้องมาตามใช้หนี้ก้อนนี้” ที่ปรึกษาของกลุ่ม Freedom Caucus กล่าว

ภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” นี้รุนแรงที่สุดในหมู่นักการเมืองที่ต้องลงเลือกตั้งในพื้นที่ก้ำกึ่ง (Swing States) พวกเขาต้องการทั้งคะแนนเสียงจากฐาน MAGA และเงินทุนจากกลุ่มทุนเทคโนโลยี การแตกหักของ Trump และ Musk ทำให้พวกเขาต้องเลือก ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่จะเสียคะแนนอีกฝั่งไป

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “Trump-Risk Premium” ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอย่างสมบูรณ์ มันไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางการเงินอีกต่อไป แต่เป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ว่าพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดในวันนี้ อาจกลายเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดในวันพรุ่งนี้ได้ เพียงเพราะทวีตเดียวหรือความไม่พอใจส่วนตัว

 

อุตสาหกรรมและซัพพลายเชน: อนาคตบนเส้นด้าย

ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมนั้นจับต้องได้และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าค่ะ

 

วิกฤตการณ์อวกาศ: คำขู่ของ Trump ที่จะตัดสัญญา SpaceX ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันคือ วิกฤตความมั่นคงแห่งชาติสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พึ่งพายาน Dragon ของ SpaceX ในการรับส่งนักบินอวกาศและเสบียงจากผืนดินอเมริกาแต่เพียงผู้เดียว หาก SpaceX หยุดบิน จะเท่ากับว่าโครงการอวกาศมูลค่าแสนล้านดอลลาร์ของสหรัฐฯ จะกลายเป็นอัมพาตทันที

นอกจากนี้ โครงการอาร์ทิมิส (Artemis Program) ที่จะส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์ และดาวเทียมจารกรรมรุ่นใหม่ของเพนตากอน ต่างก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้จรวดของ SpaceX ทั้งสิ้น การกระทำของ Trump กำลังเอาความฝันและความมั่นคงในอวกาศของชาติมาเป็นตัวประกัน

 

สงครามยานยนต์ไฟฟ้า: ในทำนองเดียวกัน การคุกคาม Tesla ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเงินอุดหนุน มันคือการเปิดฉาก “สงครามด้านกฎระเบียบ” รัฐบาลสามารถสั่งสอบสวนการผูกขาดของเครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger, ชะลอการอนุมัติเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ (Full Self-Driving) หรือแม้แต่ตั้งกำแพงภาษีกับชิ้นส่วนที่นำเข้าจากจีน

สิ่งนี้สร้างบรรยากาศแห่งความกลัวไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่กำลังลงทุนใน EV อาจชะลอแผนทันที เพราะกลัวจะโดนลูกหลงทางการเมือง และนั่นคือการเปิดประตูให้ค่ายรถยนต์จากจีนอย่าง BYD เข้ามายึดครองตลาดโลกโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน พนักงานนับหมื่นชีวิตใน Gigafactory ที่เท็กซัส, เนวาดา และแคลิฟอร์เนีย ต่างก็ตกอยู่ในความไม่แน่นอน

ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่สองบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ได้ไหลบ่าไปสู่บริษัทซัพพลายเออร์ขนาดเล็กและขนาดกลางอีกนับพันรายทั่วประเทศที่ผลิตชิ้นส่วนให้ Tesla และ SpaceX พวกเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่คำสั่งซื้อทั้งหมดอาจกลายเป็นศูนย์ได้ในชั่วข้ามคืน

 

ตลาดการเงิน: สึนามิแห่งความไม่แน่นอน

สำหรับวอลล์สตรีท วันที่ 5 มิถุนายน คือวันที่ทุกแบบจำลองทางการเงินพังทลายลง มันไม่ใช่แค่การปรับฐานของตลาด แต่มันคือ “เหตุการณ์หงส์ดำ” (Black Swan Event) ที่เกิดจากการที่บุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก (ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก (Elon Musk) ประกาศสงครามกันอย่างเปิดเผย

 

ความตื่นตระหนกที่ลุกลาม: การเทขายไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ้น Tesla แต่มันลุกลามไปทั่วทั้งดัชนี NASDAQ กลุ่มเทคโนโลยีทั้งหมดถูกนักลงทุนตั้งคำถามถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่ซ่อนอยู่ เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-off) อย่างบ้าคลั่ง นักลงทุนพากันเทขายหุ้นแล้วหันไปซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (ซึ่งน่าตลกตรงที่มันคือหนี้ที่ทั้งสองกำลังทะเลาะกัน) และทองคำ

 

มุมมองจากต่างชาติ: นักลงทุนจากยุโรปและเอเชียมองภาพนี้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาเห็นประเทศสหรัฐอเมริกาที่ดูไม่มั่นคง ถูกปกครองด้วยอารมณ์และความแค้นส่วนตัว แทนที่จะเป็นนโยบายที่คาดการณ์ได้ ความน่าเชื่อถือของตลาดทุนอเมริกาในฐานะ “สวรรค์ที่ปลอดภัย” (Safe Haven) ได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง คำถามเริ่มดังขึ้นในห้องประชุมของธนาคารกลางทั่วโลกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

 

นโยบายการคลังและสังคม: รอยแยกที่ลึกกว่าตัวเลข

ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ได้ฉีกกระชากสังคมอเมริกันให้ลึกลงไปกว่าเดิม สงครามเรื่อง “Big, Beautiful Bill” ไม่ใช่แค่การถกเถียงเรื่องงบประมาณอีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็น “สงครามตัวแทน” (Proxy War) เพื่อชิงจิตวิญญาณของพรรคอนุรักษ์นิยม ระหว่างแนวคิด “ชาตินิยมประชานิยม” ที่เน้นการลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นโดยไม่สนหนี้สิน (แบบของ Trump) กับแนวคิด “ทุนนิยมเทคโนโลยีที่เน้นวินัยการคลัง” ที่เชื่อว่าความรับผิดชอบระยะยาวสำคัญกว่า (จุดยืนใหม่ของ Musk)

สำหรับคนอเมริกันทั่วไป พวกเขามองเห็นเพียงภาพของมหาเศรษฐีสองคนทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ในขณะที่ราคาขนมปังและค่าน้ำมันของพวกเขายังคงพุ่งสูงขึ้น มันบ่มเพาะความรู้สึกเหยียดหยามและไม่ไว้วางใจต่อระบบทั้งหมด ตอกย้ำความเชื่อที่ว่า วอชิงตันไม่ได้ทำงานเพื่อคนธรรมดาอีกต่อไป

เหตุการณ์นี้ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่น่ากลัว มันแสดงให้เห็นว่า “ผู้เล่นนอกภาครัฐ” (Non-state Actor) ที่มีเงินทุนมหาศาลและแพลตฟอร์มสื่อสารมวลชนอยู่ในมือ สามารถทำหน้าที่ “คานอำนาจ” ประธานาธิบดีได้ในแบบที่รัฐธรรมนูญไม่เคยคาดคิดมาก่อน

 

นี่คือกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลในรูปแบบใหม่ที่ป่าเถื่อน, วุ่นวาย และคาดเดาไม่ได้ ซึ่งได้ปูทางไปสู่คำถามสุดท้ายในบทต่อไป… โลกพร้อมแล้วหรือยังสำหรับสมการอำนาจแบบใหม่นี้?

 

คำถามถึงอนาคต

หนึ่งสัปดาห์หลังจากการปะทะครั้งใหญ่ Elon Musk ได้ตั้งโพลสำรวจบน X ด้วยคำถามง่ายๆ “ถึงเวลาหรือยังที่อเมริกาควรมีพรรคการเมืองใหม่ ที่เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ 80% ที่อยู่ตรงกลาง?” ผลโหวตนับสิบล้านโหวตเทไปที่คำว่า “ใช่” อย่างถล่มทลาย

เรื่องราวของ Trump และ Musk ไม่ใช่แค่การทะเลาะกันของมหาเศรษฐี แต่มันคือบทพิสูจน์ว่าในศตวรรษที่ 21 อำนาจของทุนและเทคโนโลยีสามารถท้าทายอำนาจรัฐได้อย่างซึ่งหน้า มันคืออุทาหรณ์ของพันธมิตรที่สร้างขึ้นจากผลประโยชน์ ซึ่งพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อเมื่อผลประโยชน์ขัดกัน

และมันทิ้งไว้ซึ่งคำถามสุดท้ายที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับอนาคตของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกค่ะ ซึ่งก็คือ ถ้าในปี 2028 สนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่สองขั้ว แต่มีตัวแปรที่สามคือ ‘มหาเศรษฐีเทคโนโลยี’ ที่มีทั้งเงินทุน, ข้อมูลมหาศาล และแพลตฟอร์มสื่อสารมวลชนอยู่ในมือ... สมการอำนาจของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?

 

 

ขอบคุณทีมาเนื้อหาข้อมูจาก.. เพจ Beauty Investor 


จอมมาร