5 หุ้นกลุ่มขนส่ง ควร “สะสม” หรือ “หลีกเลี่ยง” ? เมื่อราคาน้ำมันยังปรับเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่อง
จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีทั้งหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์ และก็ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ หลังจากต้นทุนวัตถุดิบที่อิงกับราคาน้ำมัน หรือกลุ่มที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักอย่างกลุ่ม ขนส่งและโลจิสติกส์ ที่จะยังมีความน่าสนใจแค่ไหน หากเป็นหุ้นรายตัวของกลุ่มนี้ ตัวไหนน่าสะสม บทความนี้มีคำตอบ
ล่าสุดนายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยมีมติให้ปรับขึ้นราคาน้ำดีเซลลิตรละ 1 บาท เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังคงมีความผันผวน ราคาน้ำมันดีเซล (Gas Oil) อยู่ที่ 158.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (2 มิ.ย. 2565) เพิ่มขึ้นจากเดิมสัปดาห์ก่อนราคา 149.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (27 พ.ค. 2565)
จากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการออกมาตราการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปที่ตกลงจะห้ามการนำเข้าน้ำมันจากรัสเชีย การเปิดประเทศของจีน ตลอดจนปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลงกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล การปรับราคาดังกล่าวเป็นการทยอยปรับขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนมากนัก ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลปรับจากลิตรละ 32.94 บาท เป็นลิตรละ 33.94 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
ทีมข่าว Wealthy Thai ได้ต่อสายตรงไปยัง นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ซึ่งบอกกับเราว่าระบุว่า หุ้นกลุ่มนี้จะต้องแยกเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะเป็นและโลจิสติกส์ ทางเรือ ส่งไปต่างประเทศหรือไม่ อย่างเช่น WICE, LEO ที่จะครอบคลุมขนส่งไปต่างประเทศ
โดยขนส่งในไทยมองว่าน่าจะลำบาก เนื่องจากการแข่งขันรุนแรง ไม่สามารถขึ้นราคาได้ แต่ถ้าเป็นขนส่งทางเรืออย่าง PSL, RCL ราคาตู้ และดัชนีค่าระวางเรือก็ปรับเพิ่มขึ้นช่วยชดเชยราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้จะมีแรงกดดันบ้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ที่ทางประเทศจีนมีการล็อกดาวน์ ทำให้มีการดีเลย์ต่างๆ หมายความว่า การขนส่งทางเรือไปยังจีนไม่สามารถเทียบท่าได้เลย จึงมีการจอดเรือเพื่อรอ ซึ่งถือเป็นต้นทุนของบริษัทอีกด้วย โดยภาพรวมจึงมองว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรจากค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้น
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ยังไม่น่าสนใจเข้าลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างเช่นในประเทศ อาทิ KEX ก็ถือว่ามีปัจจัยกดดันอยู่ ล่าสุดมติให้ปรับขึ้นราคาน้ำดีเซลลิตรละ 1 บาทอีกด้วย ทำให้พาร์ทเนอร์ไม่สามารถคุมต้นทุนได้ เนื่องจากส่วนแบ่งรายได้ที่น้อยอยู่แล้ว ราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้นแบบนี้อาจจะทำให้เกิดการยกเลิกการเป็นพาร์ทเนอร์กับขนส่งได้ ซึ่งถือเป็นแรงกดดันอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์จริงๆ มองว่า กลุ่มขนส่งทางอากาศ อย่างเช่น สนามบิน และหุ้นกลุ่มขนส่งทางราง อย่างเช่น BTS และ BEM ที่มองว่ายังพอไปได้อยู่ ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ แนะนำให้ชะลอการลงทุนไปก่อน
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ Wealthy Thai เช่นกันว่า หุ้นที่ Coverage ของกลุ่มนี้ ทั้งขนส่งที่มีต้นทุนน้ำมันในระดับสูง เช่น KEX JWD WICE โดยนอกจาก KEX แล้ว ทุกรายบอกว่ามีการผลักภาระให้กับลูกค้าหมดเลย ส่วนที่ผลักภาระต้นทุนไม่ได้อย่าง KEX ที่ราคาขายไม่สามารถปรับได้ เนื่องจาก ได้รับแรงกดดันจากสงครามราคา ซึ่งถ้าใครอยู่รอดท้ายที่สุดก็จะเหลือเพียง 1-2 ราย และเชื่อว่าสงครามราคาจะอยู่ไปอีก 1-2 ไตรมาส อย่างไรก็ตามผลประกอบการ KEX ก็จะไม่ดีเช่นเดียวกับคู่แข่ง ส่วนหุ้นรถไฟฟ้าก็ไม่มีผลกระทบจากราคาน้ำมัน เพราะส่วนใหญ่คือเรื่องสัมปทาน
ดังนั้นหุ้นกลุ่มขนส่งที่ Coverage ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับราคาขายไม่ได้ตามต้นทุนคือ KEX ส่วนกลุ่มเรือ PSL,PRM คือลูกค้าใช้บริการเรือและดูแลเรื่องภาระต้นทุนต่างๆ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และล่าสุดยังไม่เห็นถึงปริมาณขนส่งที่ปรับตัวลง แม้จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ดีมานด์ลูกค้าก็ยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นหากนักลงทุนที่สนใจเล่นหุ้นกลุ่มนี้จริงๆ มองว่าขนส่งทางเรือ และรถไฟฟ้า ยังสามารถเข้าเล่นได้ โดยมองว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่ปิดความเสี่ยงประเด็นราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นหมด แม้จะเป็นราคาน้ำมันช่วงปกติก็ไม่รับภาระส่วนนี้อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่บริษัทจะไปมุ่งเน้นเรื่องของการส่งของที่ถึงมือลูกค้ามากกว่า
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ Wealthy Thai ว่า หุ้นกลุ่มขนส่งทางบกก็ยังน่าสนใจเข้าลงทุนเนื่องจาก มีการเปิดเมือง และการเดินทางที่เพิ่มขึ้น อย่าง BTS และ BEM ส่วนขนส่งทางอากาศก็ดีเช่นกัน เพราะมีการเปิดให้ต่างชาติเดินทาง ทั้ง AOT และสายการบินต่างๆ เป็นต้น
จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่กลุ่มนี้บางรายสามารถผลักภาระให้กับลูกค้าได้ ทำให้ผลกระทบจึงจำกัด แต่ในส่วนที่ในแง่ขจองรายได้ต้องดูอีกครั้งว่าจะกระทบกำลังซื้อหรือไม่ ส่วน KEX มองว่าปัญหาอยู่ที่การแข่งขันทางด้านราคา และเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบนี้ ยิ่งเป็นแรงกดดันต่อ KEX
ดังนั้นสรุปง่ายๆ คือ หากนักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ก็จะมีหุ้นขนส่งทางอากาศ และทางบก แนะนำ BEM AOT และ AAV