จับตา! SJWD เข้าคำนวณใน SET100
แทนที่ “TRUE กับ DTAC” หลังควบรวมเสร็จ
พบมาร์เก็ตแคปเข้าเกณฑ์ ทะยานเกิน 3 หมื่นลบ.

.
หลังจากที่หุ้น TRUE (ใหม่ภายหลังจากควบรวมกับ DTAC) จะเข้าซื้อขายวันที่ 3 มี.ค.66 ซึ่งหากมองในมุมของหุ้นที่จะได้รับการเข้าคำนวณใน SET50 และ SET 100 แทนนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ SAWAD จะได้รับการเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ขณะที่ SJWD มีโอกาสจะได้รับเข้าคำนวณใน SET 100 แทนนั้น
.
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้มุมมองถึง หุ้นสมาชิกที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET 100 มีโอกาสที่ SJWD จะถูกนำเข้าคำนวณในดัชนีดังกล่าวค่อนข้างสูง เนื่องจากมาร์เก็ตแคปที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ SCGL และ JWD ทำการควบรวมกันแล้วเสร็จได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์
.
โดยตามเกณฑ์คำนวนของตลาดหลักทรัพย์จะนำสมากชิกสำรอง 5 รายที่ถูกคัดเลือกไว้ ขึ้นมาคำนวณเป็นสมาชิกทดแทนสมาชิกเดิม ซึ่งกรณีเกิดจากการควบรวมของ TRUE และ DTAC ที่เห็นสมากชิกทั้งใน SET 50 และ SET 100 เป็น TRUEE ที่เข้าซื้อขายในวันที่ 3 มีนาคม จึงต้องมีการคำนวณใหม่อีกครั้ง
.
ในส่วนของรายชื่อดัชนี SET50 และ SET100 ที่มีการหายไปจะต้องมีการนำหุ้นเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่แทนตำแหน่งที่หายไป ซึ่งสมาชิกสำรองที่จะถูกเข้าคำนวณใน SET 100 มีความเป็นไปทั้ง SIRI ที่มีมาร์เก็ตแคป 2.9 หมื่นล้านบาทและ SJWD ที่มีมาร์เก็ตแคป 3.3 หมื่นล้านบาท
.
แต่อย่างไรก็ดี จากมุมมองส่วนตัวระยะเวลาที่สมาชิกใหม่จะถูกนำเข้าคำนวณใน SET 100 คาดว่าจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 66 ซึ่งเกณฑ์การคิดมาร์เก็ตแคปของ SIRI และ SJWD ตลาดหลักทรัพย์ฯจะคิดคำนวณจากราคาปิดตลาดในวันที่ 28 ก.พ. 66 หรือภายในวันนี้ก็จะได้ข้อสรุปว่าใครจะเป็นสมาชิกคนใหม่ใน SET 100
.
[SJWD โชว์รายได้ปี 65 เฉียด 6,000 ลบ.]
นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 ตามงบการเงินก่อนการรวมกิจการกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL มีรายได้เติบโตเป็นที่น่าพอใจจากการดำเนินงานของธุรกิจหลักต่าง ๆ ที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 5,988.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากปีก่อน ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่เคยวางไว้ 15%
.
ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 504.3 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 571.7 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากในไตรมาส 4/2565 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการกับบริษัท บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL และค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
.
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.ธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ 1,275.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.6% เนื่องจากได้รับงานขนส่งสินค้าทั่วไปและยานยนต์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนหลากหลายแบรนด์และรถแบรนด์ชั้นนำจากยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง
.
3. ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป มีรายได้ 521.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.2% และมีอัตราการเช่าพื้นที่มากกว่า 100% (3) ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ มีรายได้ 446.6 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา
.
อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจดังกล่าวฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการให้บริการขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าและปัญหาซัพพลายเชนดิสรัปชั่นเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้มีรายได้ไตรมาส 4/2565 และกำไรสุทธิในเดือนธันวาคม 2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่ รวมถึงมีอัตราการใช้พื้นที่จอดพักรถเพิ่มขึ้นเป็น 75% 4.ธุรกิจบริการอาหารในประเทศไต้หวันภายใต้การดำเนินงานของ CSLF มีรายได้ 1,312.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% และสามารถเทิร์นอะราวด์สร้างผลกำไรแก่บริษัทฯ
.
นอกจากนี้ธุรกิจที่ร่วมลงทุนมีส่วนแบ่งกำไรที่ดี เช่น Transimex ในเวียดนาม, ALPHA ที่มีกำไรพิเศษจากการที่พาร์ทเนอร์จากญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนในโครงการคลังสินค้า, บริษัท สยาม เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด ที่ได้รับงานโลจิสติกส์รถยนต์ไฟฟ้าส่งผลมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นไตรมาส 4/2565 และคาดว่าจะสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องในปี 2566 จากเทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
.
ขณะที่นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง จากอัตราการเช่าพื้นที่และให้บริการแก่ลูกค้าที่อยู่ในระดับที่ดี
.
รวมถึงมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากแผนงานขยายการลงทุนธุรกิจต่าง ๆ อาทิ การก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไปเพิ่มเติมหลายแห่งโดย ALPHA คาดว่าภายในปีนี้จะพัฒนาพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 220,000 ตารางเมตร, ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ ที่มีแนวโน้มได้รับงานขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
.
ส่วนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ในโครงการ PACS และ PACT, Phnom Penh SEZ Plc (PPSEZ) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในประเทศกัมพูชา ที่เตรียมส่งมอบที่ดินในนิคมฯ แก่ลูกค้าและทยอยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในปีนี้ ฯลฯ
.
ขณะเดียวกัน การรวมกิจการระหว่างบริษัทฯ กับ SCGL จะเพิ่มศักยภาพการเติบโตและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเพิ่มรายได้การลงทุนขยายธุรกิจในประเทศและระดับภูมิภาค
.
รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทวางแผนขยายการลงทุนและศึกษาโอกาสเข้าควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้
.
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะรายงานงบการเงินที่รวมผลการดำเนินงานของ SCGL ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น