สำรวจ “กลุ่มเจมาร์ท” ยังน่าลงทุนไหม ?
หลังปัจจัยลบรุมเร้า ทำราคาหุ้นร่วงแรง
.
หุ้นกลุ่มเจมาร์ทกำลังเผชิญมรสุมอย่างหนัก จากผลประกอบการไตรมาส 1/66 ที่ออกขาดทุนสุทธิ จากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนของบริษัทในกลุ่มอย่าง SINGER ซึ่งประสบปัญหาสินเชื่อที่ออกจากมาตรการบรรเทาหนี้ช่วงโควิด-19 ไหลตกชั้นเป็นหนี้เสีย (NPL) และผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss) จากเงินลงทุนในตราสารทุน
.
ทำให้ราคาหุ้นบริษัทในกลุ่มเจมาร์ทถูกนักลงทุนเทขายอย่างหนัก และเกิดเป็นคำถามว่า ผลประกอบการจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ วันนี้ Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 2/66 และคำแนะนำการลงทุนที่มีต่อหุ้น JMART, JMT, SINGER และ SGC มาฝาก
.
สำหรับบริษัทแม่หรือ JMART บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกําไรปกติในไตรมาส 2/66 จะดีขึ้นจากไตรมาส 1/66 เพราะเชื่อว่ากลุ่ม SINGER จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยจะส่งต่อส่วนแบ่งผลขาดทุนมาให้ JMART ในจํานวนที่น้อยกว่าไตรมาสก่อน แต่ธุรกิจจัดจําหน่ายโทรศัพท์มือถือ (Jaymart Mobile) ที่เป็นธุรกิจหลักคาดจะชะลอตัวลง หลังมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” สิ้นสุดลงตั้งแต่กลางก.พ. 66
.
นอกจากนี้เชื่อว่าผู้บริโภคจะชะลอการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ โดยจะรอการเปิดตัวของไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3-4/66 ส่วนธุรกิจรองอย่างการบริหารหนี้ และให้สินเชื่อ ภายใต้การบริหารของ JMT คาดว่าจะมีพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่แรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นดูผ่อนคลายลงแล้ว
.
ดังนั้นเพื่อสะท้อนกําไรไตรมาส 1/66 ที่อ่อนแอ ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับคาดการณ์กําไรปกติปี 2566 ลงจากเดิม 25% เหลือ 1.1 พันล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน และปรับลด 16% สําหรับปี 2567 เหลือ 1.4 พันล้านบาท เติบโต 32% จากปีนี้ ซึ่งทําให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ลดจาก 43 บาท เหลือ 26 บาท และให้แนะนํา “Neutral” เชื่อว่าระยะสั้นราคาหุ้นยังถูกกดดันจากกลุ่มSINGER ที่คาดยังขาดทุนต่อในไตรมาส 2/66
.
ส่วน JMT บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิจะเติบโตจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เพราะคาดว่าลูกหนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อในประเทศที่ทยอยฟื้นขึ้นหลังเปิดเมืองเต็มที่ และผลบวกจากเม็ดเงินสะพัดในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งให้บริษัทเก็บหนี้ได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากการรับรู้ส่วนแบ่งกําไร JK AMC เข้ามาต่อเนื่อง
.
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังคาดกําไรจะเติบโตได้ทั้งจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามรายได้ของลูกหนี้ที่จะดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และรายได้ธุรกิจบริหารหนี้เติบโตสอดคล้องกับพอร์ตลูกหนี้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายจากการตัดมูลค่าเงินลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพเริ่มทยอยหมดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้กําไรในปี 2566 ทํานิวไฮได้
.
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกําไรสุทธิปี 2566 ไว้ตามเดิมที่ 2 พันล้านบาท โต 17% จากปีก่อน และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 46 บาท โดยเชื่อว่าราคาหุ้น JMT จะ “Outperform” ตลาดได้จาก 1. ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกําไรไตรมาส 2/66 ที่น่าจะโตได้ทั้งจากไตรมาส 2/65 และ 1/66 รวมถึงมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และ 2. หุ้น JMT ปรับฐานไปกว่า 40% จากต้นปี สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจจะเติบโตชะลอตัวไปมากแล้ว
.
ด้าน SINGER บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะหดตัวจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากปัจจัย 1. ยอดขายที่ลดลงจากฐานสูง และประเมินว่าบริษัทจะยังเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุม NPL ไม่ให้สูงขึ้น และ 2. ค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/66 จากค่าปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่น้อยลงเล็กน้อย ตามปริมาณสินค้ายึดคืนที่น้อยลง ภายหลังที่บริษัทจะหาช่องทางระบายสินค้ายึดคืน เช่น การจำหน่าย ตู้เติมน้ำมันเป็นปั๊มทันใจมากขึ้น
.
โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการปี 2566 ลงเป็นขาดทุนสุทธิที่ 1.6 พันล้านบาท จากการปรับลดยอดขาย, รับรู้ gross loss margin ในธุรกิจ direct sale, เพิ่ม credit cost และ NPL ที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 6 บาท จากผลการดำเนินงานที่จะยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัยระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้นเป็น single digit เหมือนช่วงปี 2558-2560 รวมทั้งผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมาขาดทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี จึงเชื่อว่าราคาหุ้นควรจะเทรดที่ discount และต่ำกว่าช่วงโควิด-19 เนื่องจากไม่มีมาตรการช่วยเหลือและการผ่อนผันเกณฑ์ในการจัดชั้นลูกหนี้และตั้งสำรองในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
.
และสุดท้าย SGC บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเด็นเรื่องสินเชื่อภายใต้มาตรการความช่วยเหลือยังคงมีอยู่ในไตรมาส 2/ 2566 โดยสินเชื่อคงเหลือภายใต้มาตรการบรรเทาหนี้จากโควิด-19 จำนวน 10.58% ของสินเชื่อรวมไตรมาส 1/2566 มีโอกาสสูงที่จะถูกไหลลงมาเป็น NPL ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของสินเชื่อในส่วนนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงจากไตรมาสก่อนหน้า
.
โดยบริษัทตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) สำหรับสินเชื่อภายใต้มาตรการบรรเทาหนี้เพียงแค่ 10% ของยอดสินเชื่อส่วนนี้ทั้งหมด และยังไม่สามารถให้แนวทางเกี่ยวกับทิศทางของ NPL ในปี 2566 ได้ เนื่องจาความไม่แน่นอนของคุณภาพสินเชื่อภายใต้โครงการบรรเทาหนี้ แต่ยืนยันว่า NPL ของสินเชื่อใหม่ที่เริ่มปล่อยตั้งแต่ปี 2566 น่าจะไม่เกินระดับ 5%
.
ทั้งนี้บริษัทระบุว่า credit cost ที่อยู่ในระดับสูงจะส่งผลกระทบเฉพาะกำไรไตรมาส 2/66 โดยคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในครึ่งหลังของปี 2566 ส่งผลให้บริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง จากเป้าหมายการลดต้นทุนที่ 20% ตามแผนการลดพนักงาน การวมศูนย์การอนุมัติสินเชื่อไว้ที่สำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว และการประสานนโยบายการติดตามหนี้กับ JMT
.
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ลดประมาณการกำไรปี 2566 เป็นผลขาดทุนสุทธิที่ 682 ล้านบาท จากคาดการณ์เดิมที่มีกำไร 782 ล้านบาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด พร้อมลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 1.50 บาท จากเดิม 4.10 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรและการลดตัวคูณมูลค่าหุ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์จะกลับมามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น หากคุณภาพสินทรัพย์มีสัญญาณการฟื้นตัว
