เรากำลังสอนลูกหลาน...ให้เลิกเป็นมนุษย์
วันนี้แอดมีเรื่องอยากจะมาเล่าให้ฟังคือ แอดเพิ่งมีโอกาสได้ไปดูคลิปวิดีโอตัวหนึ่งของ ไซมอน ซิเน็ค มา แล้วมันแบบ...โดนใจมาก มันจี้ใจดำจนแอดรู้สึกว่าต้องเอามาขยายความเล่าต่อให้ได้เลยให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ เพราะว่าเค้าได้เปิดประเด็นว่า AI มันจะทำให้ความเป็นมษุษย์ลดลง
อธิบายก่อนว่า ไซมอน ซิเน็ค เค้าเป็นนักเขียนและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังระดับโลกค่ะ เขาเป็นที่รู้จักจากแนวคิด "เริ่มต้นด้วยคำว่า 'ทำไม' (Start With Why)" และทฤษฎี "วงกลมทองคำ" นั่นเอง หลายๆคนคงเคยเห็นหน้าเค้าแหละ แต่อาจจะไม่รู้ชื่อเค้า

โดยในคลิปนี้เขาได้พูดถึงเรื่อง AI นี่แหละค่ะ แต่เขาไม่ได้มาพูดแบบนักเทคโนโลยีจ๋า หรือมาทำนายอนาคตที่น่ากลัวอะไรแบบนั้น แต่เขามาในมุมของนักคิดเรื่อง "คน" มากกว่า โดยเขาชวนให้เรามองลึกลงไปอีกชั้นว่า ไอ้เจ้าเทคโนโลยีสุดล้ำที่ทำให้ชีวิตเราสบายขึ้นทุกวันๆ เนี่ย มันกำลังพรากอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปจากเราหรือเปล่า
ซิเน็คเค้าได้ตั้งคำถามกับ "ความสบาย" โดยเขาบอกว่าทุกวันนี้เราเหมือนถูกตั้งโปรแกรมให้รักความง่าย รักทางลัด อะไรที่ยากๆ เหนื่อยๆ เราจะพยายามเลี่ยงมัน แต่เขาบอกว่าเรากำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยนะ เพราะไอ้ "ความยากลำบาก” กับ "ความพยายาม" นี่แหละ คือปุ๋ยชั้นดีที่ทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจากข้างใน
ตอนฟังถึงตรงนี้ แอดว่าหลายๆ คนคงคิดภาพถึงตอนผู้ใหญ่หรือผู้ที่อาวุโสกว่าชอบว่าเราว่า เด็กรุ่นนี้รักสบาย ไม่ค่อยทดทนทำอะไรเองนั่นแหละ แล้วเราก็มักจะเถียงในใจว่า ก็มีมันวิธีง่ายกว่า จะทำอะไรยากๆไปทำไหม
ถัดมาเขาก็ได้เล่าประสบการณ์ตอนเขียนหนังสือของตัวเอง โดยเขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักคิดที่ลึกซึ้งขึ้นมาได้ ไม่ใช่ตอนที่หนังสือขายดีมีคนอ่านเยอะๆ นะคะ แต่เป็นช่วงเวลาที่เขานั่งจมอยู่กับหน้ากระดาษว่างๆ นั่งปวดหัวคิดหาคำที่ใช่ ลบแล้วเขียนใหม่ซ้ำๆ วนไปวนมาเป็นร้อยๆ รอบ
ช่วงเวลาแห่งความทรมานเล็กๆ นั่นแหละ คือช่วงที่สมองเขาได้ทำงานหนักที่สุด ได้สร้างเส้นทางความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา มันคือการออกกำลังกายสมองดีๆ นี่เอง
พอ AI เข้ามา มันเหมือนเราได้ทางลัดวิเศษมาอยู่ในมือ อยากได้อะไรแค่พิมพ์บอก มันก็เสกคำตอบที่ดูดีและสมบูรณ์แบบมาให้ในไม่กี่วินาที เราก็เลยข้ามขั้นตอนที่ "เหนื่อย" ที่สุด ซึ่งก็คือ "การคิด" ไปโดยสิ้นเชิง
ซึ่งจุดนี้เขาบอกว่ามันน่ากลัวนะ ลองคิดดูสิคะว่า เราอาจกำลังสร้างคนรุ่นต่อไปที่รู้วิธี "ก๊อบปี้คำตอบ" แต่ไม่เคยได้เรียนรู้วิธี "คิดเพื่อหาคำตอบ" เลยแม้แต่น้อย
ประเด็นถัดไปที่เชื่อมกันและน่าขนลุกกว่าเดิมอีก และแอดเชื่อว่าหลายๆ คนรวมถึงแอดยังไม่ได้นึกถึงคือ พอ AI เริ่มทำให้เราขี้เกียจที่จะคิด มันก็จะเริ่มลามไปถึงการ "ขี้เกียจที่จะรู้สึก" ด้วยค่ะ
ซึ่งมันอาจจะหมายความว่า ทักษะความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐานของเรากำลังค่อยๆ หายไปอย่างน่าใจหาย ทักษะอย่างการเข้าใจความรู้สึกคนอื่น การปลอบใจเพื่อน หรือแม้แต่การทะเลาะกันแล้วหาทางคืนดีกัน ทักษะพวกนี้มันต้องเรียนรู้จากการลงสนามจริง จากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจทั้งนั้น ไม่ใช่ถาม AI มาแล้วเอามาใช้
ตัวอย่างที่เขาพูดถึงคือ ให้เราลองจินตนาการดูนะว่า "ถ้าโลกนี้มีการมอบเรือให้กับเราทุกคนตั้งแต่วันแรกที่เกิด จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบก็คือ...จะไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลยแม้แต่คนเดียว แล้วพอวันหนึ่งที่เรือลำนั้นเกิดรั่วหรือเจอพายุจนล่มขึ้นมา ทุกคนก็จะจมน้ำตายกันหมด"
พอฟังจบคือ...แม่งจริงมาก "เรือ" ในที่นี้ก็คือเทคโนโลยีและ AI ที่ทำให้ชีวิตเราสบายสุดๆ ส่วน "การว่ายน้ำ" ก็คือทักษะการใช้ชีวิต การเข้าสังคม การรับมือกับปัญหา ที่เป็นเหมือนภูมิคุ้มกันให้เราเอาตัวรอดได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
ทุกวันนี้เรานั่งอยู่บนเรือที่สบายจนเราลืมไปแล้วว่าขาของเรามีไว้เพื่อว่ายน้ำ เราใช้ Google Maps จนเราจำทางเองไม่ได้ หรือแม้กระทั่งเราลืมการจำเบอร์โทรศัพท์กันไปแล้ว บางคนอาจจเป็นหนักถึงขึ้นใช้แชทคุยกันจนไม่กล้าสบตาคุยกับคนจริงๆ รวมถึงใช้ AI ช่วยร่างข้อความขอโทษแฟน จนเราพูดคำว่าขอโทษจากใจจริงๆ ไม่เป็น... มันน่ากลัวดีเหมือนกันนะ
เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นค่ะ ซิเน็คยังลากเราไปดูผลกระทบในโลกของการทำงานต่ออีก ซึ่งก็มีเรื่องให้เราต้องอ้าปากค้างเหมือนกัน โดยเขาชี้ให้เห็นความย้อนแย้งที่ว่า ในสมัยก่อนตอนที่หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่คนงานในโรงงาน สังคมก็ชี้นิ้วบอกให้คนงานเหล่านั้น "ไปปรับตัวสิ ไปเรียนรู้ทักษะใหม่"
แต่พอมาถึงยุคนี้ที่ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่คนทำงานออฟฟิศใส่สูทผูกไทบ้าง บทสนทนากลับกลายเป็นเรื่อง "เราจะตั้งกองทุนมาช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ยังไงดี" มันทำให้เห็นเลยว่าเรามองค่าของคนไม่เท่ากันจริงๆ
แต่สิ่งที่แอดยังมองว่าล้ำไปกว่านั้นคือ เขามองว่าในอนาคตอันใกล้ โลกอาจจะไม่ได้แบ่งชนชั้นกันด้วยเงินทองอีกต่อไป แต่อาจจะแบ่งกันด้วย "ความสามารถในการคิด" ที่หมายถึงการคิดจริงๆ โดยมนุษย์ค่ะ
มันจะกลายเป็นโลกที่มีคนอยู่สองประเภท คือ "คนที่เป็นนาย AI" กับ "คนที่เป็นทาส AI" โดยคนกลุ่มแรกคือคนที่ยังคิดวิเคราะห์เองเป็น ยังตั้งคำถามที่เฉียบคมได้ และใช้ AI เป็นแค่เครื่องมือเสริม ขณะที่คนกลุ่มหลังคือ คนที่พึ่งพา AI จนเคยตัว คิดอะไรเองไม่เป็นแล้ว ทำได้แค่รอรับคำสั่งและทำตามที่ AI บอกเท่านั้น... แค่คิดตามก็หนาวแล้วค่ะ
แต่ท่ามกลางเรื่องที่ดูจะหม่นๆ ทั้งหมดนี้ ซิเน็คก็ยังชี้ให้เราเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นะคะ โดยเขาบอกว่าพอทุกอย่างมันเริ่มถูกสร้างโดย AI จนมัน "สมบูรณ์แบบ" ไปซะหมด ภาพก็สวยเป๊ะ เพลงก็เพราะเป๊ะ บทความก็ไร้ที่ติ... จนมันเริ่มรู้สึก "เลี่ยน" และ "ไร้วิญญาณ"
มนุษย์เราโดยสัญชาตญาณก็จะกลับมาเริ่มโหยหาสิ่งที่ตรงกันข้าม เราจะเริ่มมองหาสิ่งที่มัน "จริง" สิ่งที่มีตำหนิ มีร่องรอย และมีเรื่องราว ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ของ handmade จานที่ปั้นเบี้ยวๆ เสื้อที่ย้อมสีไม่เท่ากัน หรือแผ่นเสียงที่เสียงไม่ได้ใสปิ๊งเหมือนไฟล์ดิจิทัล มันถึงได้กลับมามีคุณค่าทางใจกับเรามากเป็นพิเศษ
ความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านี้แหละ คือลายเซ็นของ "ความเป็นมนุษย์" ที่ไม่มีอัลกอริทึมไหนลอกเลียนได้ และมันอาจจะกลับมามีค่ามากขึ้นในอนาคตค่ะ
และทั้งหมดที่เล่ามา มันก็นำมาสู่คำตอบสุดท้ายที่เขาให้ไว้ ซึ่งแอดว่ามันเป็นส่วนที่ทรงพลังที่สุดในคลิปนี้เลย... เขาบอกว่า "ยาถอนพิษ" ที่ดีที่สุดสำหรับโลกที่กำลังมุ่งไปสู่ความสะดวกสบายและแยกตัวออกจากกันก็คือ สิ่งที่เรียบง่ายที่สุดที่เรามองข้ามไป นั่นคือ "ชุมชน" และ "มิตรภาพ"
เขาบอกว่าความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในงานปาร์ตี้หรือทริปเที่ยวสบายๆ แต่ถูกสร้างขึ้นใน "ช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน" การที่ได้ร่วมหัวจมท้าย ผ่านพ้นอุปสรรคมาด้วยกันต่างหาก ที่ทำให้คนเราเชื่อใจและรักกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ความสะดวกสบายไม่เคยสร้างความผูกพันที่แท้จริงได้เลย
ดังนั้น คำแนะนำสุดท้ายของเขาจึงตรงไปตรงมาสุดๆ ซึ่งก็คือ "ให้เรา 'จองคิวเพื่อนในปฏิทิน' เหมือนกับที่เราจองคิวประชุมงาน" ซึ่งฟังดูอาจจะตลกอยู่เหมือนกัน แต่ในยุคที่ทุกคนอ้างว่า "ไม่ว่าง" กันหมด การตั้งใจสละเวลาเพื่อเพื่อน การโทรไปคุยโดยไม่มีธุระ หรือการไปนั่งเจอกันจริงๆ คือการกระทำที่สำคัญที่สุดที่เราจะทำได้เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองและคนรอบข้าง
คลิปนี้น่าจะพอให้คำตอบเราได้ว่า ทักษะอะไรที่น่าจะมีความสำคัญในอนาคตค่ะ และเราคงต้องหาทาง balance การใช้ AI กับการใช้สมองของตัวเองให้ได้ รวมถึงต้องหาทางให้กับคนรุ่นถัดไปอีกเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเค้าเกิดมาในยุคที่ AI น่าจะฉลาดกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ไปแล้ว
ทุกวันนี้ในเพจก็ใช้ AI เยอะนะ เยอะมากเลยแหละ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยใช้ AI คือ ไม่เคยใช้ AI คิด content หรือไอเดีย เพราะส่วนตัวมองว่า ตัวเองนี่แหละที่ยังตั้งคำถามได้ตรงจุดมากกว่า ยังคิดหัวข้อที่คนอยากรู้ได้ดีกว่า
ส่วนเรื่องที่ AI ทำได้ดีกว่า เช่น เขียน พูด ทำรูป หรือสรุปเนื้อหายาวๆ เราก็ปล่อยเค้าทำไป แล้วเราเอาเวลาที่ประหยัดได้มานั่งคิดดีกว่าว่า เราควรจะตั้งคำถามอะไรต่อไปดี
ขอบคุณเนื้อหาที่มาข้อมูลจาก.. Beauty Investor