
ตลาดหุ้นไทยใกล้เข้าสู่ครึ่งปีหลัง กับความหวังของหลายคนอยากเห็น SET index มุ่งหน้าทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1,600 จุดที่เคยทำไว้เมื่อตอนต้นปี
Money Channel พาไปเก็บตกข้อมูลที่ได้จากงานสัมมนา "Equity Investment Forum 2017" จัดขึ้นในช่วงวีคเอนด์โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และ Money Channel กับหนึ่งไฮไลท์ในหัวข้อ “2017 จุดเปลี่ยนหุ้นไทย…ขึ้นหรือลง ??”
ในมุมมองคุณไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ บอกว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แต่มีอัพไซด์จำกัดจากเป้าหมายดัชนีสิ้นปีบรรดานักวิเคราะห์เฉลี่ยที่ 1,650 จุด หรือเพิ่มขึ้นได้อีก 4-5% ตามการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ความเสี่ยงที่น่าจับตาคือเศรษฐกิจไทยที่ถือว่าเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนไม่คึกคักเท่าที่ควร
ส่วนฟันด์โฟลว์ คุณไพบูลย์มองว่าตัวแปรสำคัญที่ต่างชาติเฝ้าจับตาคือความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล เพราะนโยบายต่างๆ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีกับการเติบโตของประเทศในระยะยาวจากแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรับประโยชน์มากมายในอนาคต รวมถึงโมเดลไทยแลนด์ 4.0 แต่มุมมองนักลงทุนต่างชาติยังมีข้อสงสัยว่าจะสามารถทำได้ทั้ง 100% จริงหรือไม่
มีความกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศ จากคาดการณ์ว่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงปลายปี 2561 กับคำถามว่าจะทำให้บรรยากาศการเมืองกลับมาตึงเครียดหรือไม่? และถ้าได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว การดำเนินนโยบายที่ส่วนใหญ่เป็นระยะยาวจะต่อเนื่องได้มากน้อยเพียงใด?
คุณไพบูลย์ แนะนำว่าบรรยากาศลงทุนเช่นนี้น่าจะเป็นจังหวะสะสมหุ้น โดยเลือกกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โครงการลงทุนรัฐ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจอยากให้เกิดขึ้น อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และได้รับประโยชน์โครงการ EEC อาทิ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
ด้านคุณพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร บอกว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปได้ต่อหรือไม่ นั้น มีตัวแปรสำคัญคือกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ปีนี้คาดจะเติบโต 8-10% โดยมุมมองระยะสั้น มองตลาดหุ้นไทยเหลืออัพไซด์ไม่มาก จากเป้าหมายสิ้นปีที่ 1,600 จุด หรือมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,650 จุด
ทั้งนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังถูกกระทบด้วย 2 กลุ่มใหญ่ คือธนาคารพาณิชย์และพลังงาน ซึ่งหากกำไรเติบโตไม่ชัดเจนดัชนีฯ อาจจะขึ้นได้ลำบาก
ในเรื่องปัจจัยภายนอก ถ้าดูตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาฟันด์โฟด์ไม่ไหลเข้าหุ้นไทย เนื่องจากมองว่ามีมูลค่าที่สูง ขณะปัจจัยในประเทศสิ่งที่น่าจับตาคือ สภาพเศรษฐกิจซึ่งแม้ช่วงหลังจะเกิดสัญญาณดีขึ้นจากการส่งออกดีกว่าคาด แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การลงทุนของภาคเอกชนในประเทศยังชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรบางรายการ เช่น ยางพาราก็ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการบริโภคได้เช่นกัน
ส่วนกระแสการโยกย้ายเงินทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น มองว่าน่าจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงรุนแรง แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในระยะยาวก็ยังมีความกังวลว่ากระแสเงินต่างชาติจะไหลออกได้เพิ่มขึ้น หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบถัดๆ ไป
โดยคำแนะนำการลงทุน ทางภัทรแนะว่าควรกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ เพราะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่มากกว่า แต่การลงทุนในหุ้นไทยควรเลือกเป็นรายตัว เน้นปัจจัยพื้นฐาน ราคาไม่สูง โดยให้น้ำหนักมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนเงินปันผล มากกว่าการเติบโตของกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น กลุ่มส่งออกและอาหาร ที่มีความเสี่ยงน้อย
แต่ต้องระวัง 2 กลุ่มใหญ่ คือ พลังงานที่แนวโน้มราคาน้ำมันที่อ่อนตัว และกลุ่มธนาคารที่มีประเด็นปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ และสินเชื่อเติบโตไม่สูงคอยกดดัน
ด้านคุณเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ บอกว่ามีโอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ขาขึ้นชัดเจนในปลายปี และมีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,700 จุด เพราะตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วโลก จึงมีความเป็นไปได้ที่ฟันด์โฟลว์จะไหลเข้ามาในหุ้นไทยอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยกำไรบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ได้ย่ำแย่ โดยคาดว่าจะเติบโต 10%
โบรกเกอร์ไทยพาณิชย์แนะนำสะสมหุ้นที่ราคายังไม่สูง อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ตลาดยังกังวลเรื่อ NPL ซึ่งน่าจะฟื้นตัว และกลุ่มโรงพยาบาลที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เหตุจากกังวลกำไรหดตัวระยะสั้น แต่ที่เชื่อว่าจะฟื้นตัวในระยะยาว ตามโครงสร้างประชากรของไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
***********************************
ทีม Business&Finance , Money Channel
ที่มา : Money Channel