ห้องเม่าปีกเหล็ก

พอร์ต ดร.นิเวศน์ VS กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
64 views

สรุปกําไรของ พอร์ต ดร.นิเวศน์ VS กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์จนถึง ณ.วันที่ 7 มิถุนายน ปี พ.ศ 2562 :

1) พอร์ต ดร.นิเวศน์ :

1.1) ปี พ.ศ 2561 = -9.90%

1.2) ปี พ.ศ 2562 = +18.18%

1.3) กําไรสะสมรวมในปี พ.ศ 2561 - 2562 ของพอร์ต ดร.นิเวศน์ = -9.90% + 18.18% = +8.28%

2) กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ :

2.1) ปี พ.ศ 2561 = +19.30%

2.2) ปี พ.ศ 2562 = +98.09%

2.3) กําไรสะสมรวมในปี พ.ศ 2561 - 2562 ของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ =  +19.30% + 98.09% = +117.39%

3) เพราะฉะนั้น กําไรของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์มากกกว่าพอร์ต ดร.นิเวศน์ = +117.39% - 8.28% = +109.11%

ตามรายละเอียด ดังนี้ คือ 

เนื่องจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นนักลงทุนแบบ " เน้นคุณค่า "  และ "เน้นการเติบโต " ตามแบบฉบับของ Benjamin Graham, Warren Buffett และ Philip A. Fisher ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองไทย 

แต่หลักการลงทุนของผู้โพสต์ที่นํามาใช้ในการก่อตั้ง " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) " นั้น เป็นแบบฉบับของจิม โรเจอร์ ที่เน้นการลงทุนใน " สิ่งที่ตัวเองมีความรู้ดี ", " แบบมุ่งเน้น " และ "แบบเน้นการคาดการณ์  " และเริ่มนับผลตอบแทนของการลงทุนตั้งแต่ปี พ.ศ 2561 เป็นต้นไปจนถึงปี พ.ศ 2590 ซึ่งจะมีระยะเวลาการลงทุน 30 ปี

เพื่อเป็นการอ้างอิงในอนาคต ผู้โพสต์จึงจะนําผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ และผลตอบแทนของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) มาเปรียบเทียบเป็นแบบปีต่อปี 

ทั้งนี้ ผู้โพสต์ขอเรียนชี้แจงเป็นการล่วงหน้าว่า " ผู้โพสต์ไม่มีวัตถุประสงค์อย่างอื่น นอกจากเป็นการเปรียบเทียบและนํามาอ้างอิงเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนทั้งสองแบบ " เท่านั้น ดังนี้ คือ :

ผลตอบแทนของพอร์ตของดร.นิเวศน์ ประจําปี พ.ศ 2561 = -9.90% ( โดยมีที่มาจากหนังสือ ฝ่าวิกฤติหุ้น ด้วย VI พันธ์แท้ โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งเป็นหนังสือ Pocket Book เล่มล่าสุดของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร )

ผลตอบแทนของ " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) "

ประจําปี พ.ศ 2561     = +19.30% ( หุ้น STEC ที่ 17.10 บาท เมื่อวันที่  30 เมษายน ปี พ.ศ 2561 ถึง 20.40 บาท เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 20.4 - 17.1 ) / 17.1 x 100 = +19.30%  )

ความแตกต่าง            =   ( -9.90  ) - 19.30 % = -29.20%

อนึ่ง ความแตกต่างทางด้านแนวความคิดระหว่าง ดร.นิเวศน์ และผู้โพสต์มี ดังนี้ คือ :

1) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ :  ไม่มีผลชี้นําต่อตลาดใดๆทั้งสิ้น ( ดร.นิเวศน์ )  : มีผลชี้นําโดยตรงต่อตลาดหุ้นเพราะเป็นผู้ที่กําหนดนโยบายที่สําคัญๆที่มีผลกระทบต่อโลกทั้งใบ ( ผู้โพสต์

2) ธุรกิจค้าปลีก : ดีที่สุด ( ดร.นิเวศน์ ) : กําลังจะเดินทางไปที่ดอย เพราะกระแสการซื้อขายสินค้าแบบ On-Line กําลังเข้ามาตีกระแสการซื้อสินค้าแบบ Off-Line ( ผู้โพสต์

3) ผลตอบแทน : ให้ความสําคัญกับเงินปันผล ( ดร.นิเวศน์ ) : ให้ความสําคัญกับ Capital Gain ( ผู้โพสต์ )

4) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย : ไม่ดีเพราะทําเพื่อชาติ ( ดร.นิเวศน์ ) : ดี เพราะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ในช่วงปี พ.ศ 2561 - 2563 เพราะโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท และโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี ( EEC ) ของรัฐบาลไทย เพื่อรองรับการย้ายฐานการลงทุนจากจีน เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ( ผู้โพสต์

5) Derivatives : ไม่ดีเพราะเป็นการพนัน ( ดร.นิเวศน์ ) : ดีเพราะเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีถ้าเล่นได้อย่างถูกทิศถูกทาง ( ผู้โพสต์

6) ธุรกิจถ่านหิน : ไม่ดีเพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ( ดร.นิเวศน์ ) : ดีเพราะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่เพราะเศรษฐกิจจีนเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ในช่วงปี พ.ศ 2565 - 2570 ( ผู้โพสต์

7) ประเทศเวียตนาม : ประเทศเวียตนามดีกว่าประเทศไทย ( ดร.นิเวศน์ ) : ประเทศไทยดีกว่าประเทศเวียตนาม ( ผู้โพสต์

หมายเหตุ :  1) หุ้นตัวหลักของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร น่าจะเป็น " CPALL "  ที่ปรับตัวขึ้นมาหลายปีดีดักจนน่าใกล้ถึงยอดดอยเต็มทีแล้วความเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ โดยปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 90 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ปี พ.ศ 2561 ส่วนหุ้นตัวหลักของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) คือ " STEC " ซึ่งพึ่งปรับตัวขึ้นมาจากเหวนรกตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ที่  17.10 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ 2561

                 2) หรือถ้าจะมีการเปรียบเทียบเฉพาะในปี พ.ศ 2562 เมื่อ CPALL ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 68.75 บาท แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 81.25 บาท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +18.18% ส่วน STEC ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 20.40 บาท  แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 22.70 บาท เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +11.27% แล้ว ทําการ Long และ Short Set 50 Index Futures และได้กําไรรวมในปี พ.ศ 2562 = +98.09%

                 3) โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Index Futuresในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com


ศักดิ์