“หุ้นสหรัฐฯ” อาจ ‘ตอบรับเชิงลบ’…หาก “โจ ไบเดน” คว้าชัย!!!
“ประเทศสหรัฐอเมริกา” หรือหนึ่งในนามของประเทศแห่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกที่นักลงทุนหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี และเป็นที่รู้กันดีว่าใน ‘วันที่ 3 พฤศจิกายน’ นี้ จะมีการเลือกตั้ง 'ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา' ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เลยก็ได้
โดยมีตัวเต็งเป็นตัวแทนจาก 2 พรรคยักษ์ใหญ่อย่าง ‘พรรคเดโมแครต’ และ ‘พรรครีพับลิกัน’ ซึ่งจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้ครองตำแหน่งในปัจจุบันคือ ‘ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์’ วัย 72 ปีจากค่ายรีพับลิกัน และผู้ท้าชิงคือ ‘โจ ไบเดน’ วัย 77 ปีจากค่ายเดโมแคร็ต ซึ่งมีนโยบายที่ต่างกันค่อนข้าง ‘สุดขั้ว’ อยู่พอสมควร
หลังเกิด ‘วิกฤต COVID-19’ อะไรที่เคยว่าแน่นอน ก็กลับไม่แน่นอนเสียแล้ว แม้แต่วันเลือกตั้งช่วงปลายปีก็มีการโยนหินถามทางว่าควรเลื่อนดีมั้ย?
จึงทำให้นักลงทุนจับตามองไม่น้อย เพราะในการแข่งขันของคู่นั้นได้ แฝงไปด้วยนโยบายของทั้งคู่ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นย่อหมายความว่าจะมีผลต่อ ‘เศรษฐกิจ’ และ ‘ตลาดหุ้น’ ด้วยเช่นกัน
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงอยากนำความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญจาก 2 สถาบันอย่าง “บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด” และ “บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด” มาเสนอให้แก่นักลงทุนให้เห็นถึงมุมมองในแต่ละคนกัน
ผลสรุปเลือกตั้งสหรัฐฯ ยัง “คาดเดายาก”...แม้ว่าคะแนนเสียงจะเริ่มเทหา “โจ ไบเดน”
เริ่มที่ “นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส” Chief Investment Officer บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ให้มุมมองถึงแนวโน้มการเลือกของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ว่า คงคาดเดาได้ยาก แม้ว่าคะแนนเสียงจะเทมาทางฝั่ง “โจ ไบเดน” แล้วก็ตาม หลังจากที่ประชาชนผิดหวังกับการคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็อาจจะทำให้นโยบายต่างๆ ขาดความต่อเนื่อง โดยอาจจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศคู่ค้าหรือประเทศโดยรวม เนื่องจากนโยบายของ “โจ ไบเดน” ค่อนข้างมุ่งเน้นไปทางการจับมือหรือการต่อรองกับประเทศอื่นๆ มากกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์”
“แต่อย่างไรก็ดีหาก ‘โจ ไบเดน’ ชนะ ด้วยนโยบายปรับเพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% อาจทำให้ตลาดทุนโดยรวมตอบรับเชิงลบ เนื่องด้วยการปรับขึ้นดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนราว 10% แต่ด้วยคะแนนเสียงที่ยังออกมาอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ นโยบายต่างๆ ยังคงสรุปออกมาได้ไม่ง่าย”
ระยะสั้น “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” อาจผันผวนได้...เหตุยังไร้ทิศทางความชัดเจนเลือกตั้ง
ในช่วงสั้นจึงมองว่า ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ อาจจะมีความผันผวนได้ จากผลการเลือกตั้งที่ยังไม่ข้อสรุปและคะแนนเสียงเองยังพลิกไปพลิกมาได้อยู่ตลอด แม้ว่าแนวโน้มตลาดจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้แล้วก็ตาม หลังจากเจอสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 กดดัน
จึงอยากแนะนำนักลงทุนที่ยังสนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ลงทุนในธีมเมกะเทรนด์อย่างหุ้นกลุ่ม ‘เฮลธ์แคร์’ และ ‘ดิจิตอลเทคโนโลยี’ ที่จะเข้าธีมดังกล่าวแล้ว ยังเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงค์จากการเกิดไวรัสCOVID-19 ที่กระตุ้นให้พฤติกรรมผู้คนเกิด ‘New Normal’ จึงทำให้เทรนด์ดังกล่าวเกิดเร็วขึ้น
คะแนนเสียงเริ่มเทฝั่ง “โจ ไบเดน” หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” คุม COVID-19 ไม่อยู่
ถัดมาที่ “คมสัน ผลานุสนธิ” กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด มองว่าจากโพลในปัจจุบันคะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เริ่มเทไปฝั่ง “โจ ไบเดน” จากค่ายเดโมแครตจากการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ไม่สามารถคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ แต่อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะสามารถดึงคะแนนกลับได้เช่นกัน เนื่องจากระยะเวลาผลิตวัคซีนและยาต้านไวรัสมีแนวโน้มที่จะออกมาใช้ได้จริงก่อนเดือนตุลาคม เพราะความคืบหน้าในปัจจุบันไปได้เร็วกว่าที่คาดการณ์จึงมีโอกาสที่คะแนนเสียงจะเทกลับ ซึ่งทำให้การจะสรุปผู้ชนะยังเร็วไปในตอนนี้
“โดยหากมองในด้านนโยบายหาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นผู้ชนะ ก็จะทำให้นโยบายต่างๆ มีความต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนตลาดและระบบการค้าทุนนิยม เชื่อมั่นในการเก็บภาษีแบบเท่าเทียมกัน และมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกองทัพ”
เตือนนลท.ระยะสั้นตลาดสหรัฐฯ อาจ ‘ตอบรับเชิงลบ’…หาก “โจ ไบเดน” คว้าชัย
ขณะที่ “โจ ไบเดน” จะมีการปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบันและปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในระยะสั้นจะทำให้ตลาดตอบรับเชิงลบ เพราะจะมีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน
“แต่ในขณะเดียวกันได้มีนโยบายอย่างโอบามาแคร์และนโยบายเศรษฐกิจที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อย่าง ‘เฮลธ์แคร์’ และ ‘คลีนเอ็นเนอร์ยี่’ หรือ ‘พลังงานทางเลือก’ แต่อย่างไรก็ตามนโยบายของทั้ง 2 ฝั่งจะเป็นไปแบบแผนได้มากน้อยเพียงใดต้องติดตามคะแนนเสียงในสภาล่างและสภาคองเกรสด้วยเช่นกัน เพราะมีผลต่อการอนุมัติใช้นโยบายต่างๆ”
โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม ‘เฮลธ์แคร์’ โดยเฉพาะเฮลท์แคร์สมัยใหม่อย่าง ‘ไบโอเทค’ และ ‘ดิจิตอลเฮลธ์แคร์’ ที่นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้แล้ว แต่ยังคงได้รับประโยชน์ต่อเนื่องไม่ว่าใครจะเป็นผู้คว้าชนะในการเลือกตั้ง
“หุ้นเฮลธ์แคร์และหุ้นเทคโนโลยี ถือเป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ในเป็นหนึ่งในธีมเมกะเทรนด์แล้ว ยังเป็นหุ้นที่สามารถเอาชนะตลาดได้ในช่วงการแพร่ระบาดของ ‘ไวรัส COVID-19’ และไม่ได้รับผลกระทบต่อการ ‘เลือกตั้งสหรัฐ’ แต่ประการใด จึงไม่แปลกหนักที่ผู้เชี่ยวชาญจะให้น้ำหนักในการลงทุนในหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้นั่นเอง”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก