ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นเล็ก VS หุ้นใหญ่ กับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
55 views

คำถามที่ยังค้างคาใจอยู่ในใจของนักลงทุนจำนวนมาก คือ ระหว่างการลงทุนในหุ้นเล็ก และหุ้นใหญ่ หุ้นแบบไหนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่ากัน ยังคงเป็นคำถามอยู่จนถึงทุกวันนี้ พอดีผมได้เจอกับบทความจากต่างประเทศน่าสนใจอยู่บนหนึ่งว่า นักลงทุนควรจะลงทุนในหุ้นเล็ก หรือหุ้นใหญ่ดี และแบบไหนให้ผลตอบแทนมากกว่ากัน เราจะมาเจาะลึกกันครับ....



สำหรับนิยามของหุ้นใหญ่ (Big Cap.) ทางเว็บไซด์ของ morningstar ได้นิยามเอาไว้ว่า "บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่าหมื่นล้านเหรียญ" อย่างไรก็ตาม การนิยามความหมายของหุ้นใหญ่ของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนอาจจะบอกว่าหุ้นใหญ่ คือหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีฐานะทางการเงินมั่นคง หรือเป็นหุ้นที่มีอิทธิพลกับตลาดค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับบ้านเราก็อย่างเช่น PTT หรือ SCC ที่มีอิทธิพลต่อการแกว่งตัวของดัชนี



สำหรับนิยามของหุ้นเล็ก หรือ Small Cap. ได้มีการนิยามเอาไว้ว่า หุ้นที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap.) ประมาณ 400 ล้านเหรียญ จนถึง 2 พันล้านเหรียญ ซึ่งจุดสังเกตของหุ้นขนาดเล็ก คือ จะมีหุ้นสามัญ มาซื้อขายในตลาดเป็นจำนวนมาก พื้นฐานของบริษัทก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่น และไม่มีอิทธิพลกับการแกว่งตัวของดัชนีมากนัก



อย่างไรก็ตาม ลักษณะทางกายภาพของหุ้นแต่ละตัวก็มีความแตกต่างกันไป เราจะมาวิเคราะห์กันครับว่ามีอะไรบ้าง


หุ้นขนาดใหญ่


นักลงทุนสามารถชี้ชัดได้เลยว่า ถ้าอยากลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เราสามารถหาหุ้นเหล่านี้ได้ใน SET50 หรือ SET100 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์คัดเลือกมาให้เราแล้วว่าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี หุ้นขนาดใหญ่ และจ่ายปันผล

 


หุ้นขนาดใหญ่ คือ หุ้นที่มี Market Cap. หรือ บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่าหมื่นล้านเหรียญ
(ที่มาภาพ : Investopedia)

 

หุ้นใหญ่ มักจะเป็นหุ้นที่มีการทำธุรกิจอยู่ในต่างประเทศ มีความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศให้ได้ และมักจะมีภาพลักษณ์หรือแบรนด์ที่ติดตาคนในประเทศ เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว อีกทั้งในตลาดหุ้นก็เป็นที่จับตาของเหล่ากองทุนขนาดใหญ่ บรรดานักวิเคราะห์ รวมถึงนักลงทุนรายย่อยก็ให้ความสนใจอีกด้วย



โดยส่วนใหญ่แล้ว หุ้นขนาดใหญ่มักจะมีการเติบโตที่ต่ำมาก เป็นเพราะว่าฐานรายได้ของบริษัทที่ใหญ่อยู่แล้ว การขยายการเติบโตให้มากขึ้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง และสิ่งนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ราคาหุ้นของหุ้นใหญ่ไม่ผันผวนมากนัก มักจะล้อไปตามตลาดหรือดัชนีมากกว่า ด้วยความไม่หวือหวา มักจะไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักเก็งกำไรส่วนต่าง โบรคเกอร์ที่เก็งกำไรระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนที่พร้อมใจซื้อหุ้นเหล่านี้ ต้องทำใจระดับหนึ่งว่าจะไม่ได้เห็นกำไรในระยะสั้น หรือถ้าเห็นก็คงจะน้อยนิด เพราะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ



แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับหุ้นใหญ่แล้ว คงเป็นเรื่องของการจ่ายปันผลมากกว่า หุ้นใหญ่ที่มีพื้นฐานดีมักจะมีการจ่ายปันผลที่ดี และต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน


Mark Niznik ผู้จัดการกองทุน  Artemis UK Smaller Companies Fund ได้ให้ความเห็นว่า "หุ้นใหญ่เป็นหุ้นที่ซื้อขายกันในราคาที่สมเหตุสมผลในตัวของมันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากถ้าเราจะพยายามซื้อมันในราคาที่มีส่วนลด หรือถ้าอยู่ดีๆ มันถูกซื้อขายในราคาที่มีส่วนลดมากๆแล้วแสดงว่ามันมีบางอย่างผิดปกติในตัวพื้นฐานของมัน"



"ตลาดหุ้น จะให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับหุ้นขนาดใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะแก่การลงทุนมากกว่าหวังส่วนต่างราคา และคุณก็ไม่ควรหวังหุ้นเด้งจากหุ้นเหล่านี้"  Mark Niznik กล่าว



จากการศึกษาอย่างยาวนาน โดยใช้ตลาด S&P 500 เป็นตัววัด ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในหุ้นใหญ่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้น S&P 500 ได้



หุ้นขนาดเล็ก
"ความสวยงามของหุ้นเล็ก คือ จะสร้างผลตอบแทนเป็นเด้งๆให้กับนักลงทุน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้มัน" นี้เป็นหลักคิดของหุ้นเล็ก คือ มีทั้งความสวยงาม และอันตรายอยู่ในเวลาเดียว



ทำไมเราถึงบอกว่ามีอันตราย เพราะหุ้นขนาดเล็กป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูงมาก สามารถขึ้นลงเป็น 10% ได้ภายในวันเดียว ดังนั้นด้วยความผันผวน จะต้องมีคนที่ขาดทุน และคนที่กำไร

 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
หุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าหุ้นใหญ่ แต่ความผันผวนก็มากตาม ดังคำกล่าวที่ว่า "More risk more reward"
(ที่มาภาพ : keystocks.com)

Gordon Rose ฝ่ายวิจัยของบริษัท Morningstar analyst ได้ให้ความเห็นว่า "หุ้นเล็ก เป็นที่รู้จักกันดีว่าสร้างผลตอบแทนที่สูงมากให้กับนักลงทุน แต่ข้อเสียของมันคือ ความผันผวนที่มากตามนั้นเอง .. สำหรับหุ้นใหญ่แล้ว เราคิดว่าถ้าเราซื้อราคาที่เหมาะสม มันก็อาจจะลงได้อีก 5-10% แต่สำหรับหุ้นเล็กแล้ว เราคิดว่าเราซื้อที่ราคาถูกมาก ซื้อราคามีส่วนลดแล้วอาจจะมีถูกและลดยิ่งกว่า 50-70% ได้เลยทีเดียว"



หุ้นเล็ก มักไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก นักวิเคราะห์ไม่สนใจ บทวิเคราะห์ที่หาอ่านในอินเตอร์เน็ตก็มีไม่มากนัก แต่หุ้นเหล่านี้กลับเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูงมากอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อบริษัทเติบโตก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นดีมาก (เพราะนักลงทุนหน้าใหม่ต่างก็เข้ามาซื้อและหวังว่ามันจะเติบโตแรงขึ้นได้มากกว่านี้อีก) การประเมินมูลค่าหุ้นแบบดั้งเดิมไม่สามารถใช้ได้กับหุ้นกลุ่มเหล่านี้ เช่น การวิเคราะห์ค่า P/E Ratio หรือ P/BV Ratio ที่มีค่าสูงมากซึ่งไม่เหมาะแก่การลงทุน แต่หุ้นเหล่านี้กลับวิ่งต่อไปได้อีก



Mark Niznik ให้ความเห็นว่า หุ้นเล็กมีความเสี่ยงที่สูง ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรซื้อมันเพียงแค่ 2-3 ตัว แต่หุ้นเล็กควรเป็นการลงทุน"ทางเลือก" เพื่อเป็นการจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมเท่านั้น



"ถึงแม้ว่าหุ้นเล็กจะสร้างผลตอบแทนที่งดงาม แต่มันกลับจ่ายปันผลออกมาน้อยมากหรือแทบจะไม่จ่ายเลย และกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือ บริษัทสามารถล้มละลายได้ง่ายกว่า ถ้าคุณเป็นนักลงทุนประเภทกล้าได้กล้าเสีย คุณก็พร้อมที่จะเสียเงินก้อนนี้พอๆกับที่จะได้รับมัน" Mark Niznik กล่าวทิ้งท้าย



แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป.... ?
จากการเก็บข้อมูลต้ังแต่ปี 1930 จนถึงปี 2013 โดยใช้ข้อมูล 4 ชุด คือ ดัชนี S&P 500  Index กองทุนที่ลงทุนแต่หุ้นใหญ่ ดัชนีหุ้นกลุ่มเล็ก (Small-Cap) และกองทุนที่ลงทุนแต่หุ้นเล็ก ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรบ้างโดยใช้การทบต้นตลอด 10 ปี เป็นการเปรียบเทียบ

 


รวมเงินปันผลแล้ว และเงินปันผลที่ได้ก็นำมาลงทุนซื้อหุ้นต่อ
(ที่มา : Dimensional Fund Advisors.)


เมื่อดูจากตารางข้างต้น ผมสามารถสรุปเป็นแนวคิดสรุปได้ 6 ข้อ ดังนี้ครับ



- มันเห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าเราวัดผลระยะยาวในช่วง 10 ปี ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น และให้ผลตอบแทนเป็นบวกแม้ว่าจะผ่านสภาวะตลาดหมีมาหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายแล้วมันก็จะเป็นบวก



- ตลาดหุ้นจะมีช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์อยู่ทศวรรต นักลงทุนส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในยุค 1990 - 1999 ซึ่งหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก (ผลตอบแทนประมาณ 15-18%) แต่จากสถิติที่เก็บชี้ให้เราเห็นว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในยุค 90 ส่วนใหญ่แล้วมักจะผ่านยุค 80 มาด้วย (ซึ่งให้ผลตอบแทนมากกว่าประมาณ 16-21%) นั้นแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราอยากจะมั่งคั่งในตลาดหุ้น การลงทุนระยะเวลาที่ยาวนานพอเป็นปัจจัยสำคัญ ..



- มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะชี้ชัดว่าสินทรัพย์ประเภทไหนให้ผลตอบแทนที่มากกว่า หรือหุ้นประเภทไหนกำลังจะเป็นดาวรุ่งในปีหน้า เช่น คุณลงทุนหุ้นเล็กในปี 60-69 ได้ผลตอบแทนที่ดีมาก แต่พอมายุค 70 ผลตอบแทนที่คุณได้กลับสู้การลงทุนในหุ้นใหญ่และรับปันผลไม่ได้



- อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะสร้างผลตอบแทนที่งดงาม เราก็หนีไม่พ้นหุ้นขนาดเล็กอยู่ดี



- การศึกษาของเราชี้ชัดว่า ในยุค 30 - 39 ตลาดหุ้นสร้างผลตอบแทนติดลบ แต่พอมาหลังจากนั้นก็สร้างผลตอบแทนเป็นบวกตลอดมา เป็นเพราะว่าผู้ลงทุนมีความรู้มากขึ้น มีการกระจายความเสี่ยง มีความรู้ มีผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนเต็มเวลาและพร้อมจะซื้อเมื่อเจอหุ้นถูกๆ แสดงให้เห็นว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนในหุ้นอย่างแน่นอน



- การลงทุนตลอด 80 ปี "การเอาชนะตลาด" เป็นเรื่องที่"ง่ายมากๆ" เพียงแค่คุณซื้อทั้งดัชนี S&P 500 และนอนอยู่ที่บ้าน คุณจะได้ผลตอบแทนปีละ 9.7% เหนือกว่าผู้จัดการกองทุนและกองทุน Hedge Fund อีกหลายๆกอง



แล้วเราจะลงทุนสินทรัพย์ประเภทไหน .. ?


มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า กองทุนที่ลงทุนในหุ้นใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่า S&P 500 แต่เราก็จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ดัชนีหุ้นเล็กมีความเสี่ยงกว่ากองทุนหุ้นใหญ่ แต่เราก็จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าคนที่ถือกองทุนหุ้นใหญ่ กองทุนหุ้นขนาดเล็กมีความเสี่ยงมากที่สุด แต่พวกเขาก็สร้างผลตอบแทนได้มากที่สุด ดังนั้นถ้าใครมาบอกคุณว่า การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงและไม่มีความเสี่ยง หรือมีความเสี่ยงน้อยมาก คุณก็ไม่ควรที่จะหลงเชื่อพวกเขา เพราะผลตอบแทนยิ่งมาก มันจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากตามด้วยเช่นกัน



ดังนั้น นักลงทุนท่านใดอยากได้ผลตอบแทนมาก ควรจะลงทุนในหุ้นเล็ก แต่คุณก็ต้องรับความเสี่ยงที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน  ในขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ไม่มีความรู้ทางการลงทุน ให้ซื้อกองทุนอิงดัชนีจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามาก เพราะความเสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ในระยะยาว

-----------------------

เขียนและสรุปโดย SiTh LoRd PaCk
ขอบคุณข้อมูลจาก marketwatch.com , Investopedia และ morningstar.co.uk


SiTh LoRd PaCk