TU หุ้นส่งออกที่กำลังเฉิดฉาย
รับปัจจัยบวกเพียบ-ราคาหุ้นไม่แพง
เหมาะลงทุนเป็น “หุ้นตัวแรก”

.
ในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างนี้ หุ้นในกลุ่มส่งออกมักเป็นดาวเด่นและได้รับความนิยมจากนักลงทุน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง ที่กำลังได้รับปัจจัยบวกหลากหลายเข้ามาสนับสนุน ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่า การรีโอเพนนิ่ง การนำบริษัทลูก I-Tail Corporation (ITC) ที่ทำธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
.
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้าน Recession ในยุโรป และสหรัฐฯ เนื่องจากสินค้ามีความจาเป็นต่อการดารงชีวิต รวมถึงผลกระทบด้านต้นทุนไฟฟ้าในยุโรปที่สูงขึ้นก็จำกัด ในขณะที่ราคาหุ้นยังปรับตัวไม่สูงมาก ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ระดับ 18 บาทกว่าๆ ซึ่งยังมี Upside gain จากราคาเป้าหมายของ IAA Consensus ดังนั้น หากนักลงทุนมือใหม่ต้องการลงทุนหุ้น TU เป็นหุ้นตัวแรกในขณะนี้ ก็นับเป็นจังหวะที่เหมาะสม
.
คุณอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า หากนักลงทุนมือใหม่ต้องการลงทุนหุ้น TU เป็นหุ้นตัวแรกในขณะนี้นับเป็นจังหวะที่ดี เพราะได้รับปัจจัยบวกหลากหลาย ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่า การรีโอเพนนิ่งประเทศ การนำบริษัทลูก I-Tail Corporation (ITC) ที่ทำธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็อยู่ในระดับที่ไม่แพงมาก โดยเทรดอยู่ที่ราว 18 บาท ยังมี Upside gai จากราคาเป้าหมายที่บล.ทิสโก้ ให้ไว้ที่ 23.00 บาท
.
ส่วนปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจาก TU ทำธุรกิจส่งออกสินค้าในหลายประเทศ ทำให้มีทั้งช่วงที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจประมง และภาวะเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมือใหม่ที่สนใจหุ้น TU จำเป็นต้องศึกษาพื้นฐานทางธุรกิจอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้เกิดความเข้าในการลงทุน
.
ด้านแนวโน้มการดำเนินงาน นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดไตรมาส 3/65 บรัทจะทำกำไรสุทธิที่ 2,217 ล้านบาท และคาดกำไรปกติที่ 1,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.0% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 5.4% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตได้จากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง โดยคาดรายได้จะเติบโตได้ในทุกธุรกิจ และ GPM ฟื้นตัวทั้งจากไตรมาส 2/65 และไตรมาส 3/64 จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565 และปี 2566 ขึ้น 15.7% และ 1.3% เป็น 7,047 ล้านบาท ติดลบ 12.7% และ 7,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% ตามลำดับ
.
ผลของการปรับประมาณการขึ้น และปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 อิงวิธีการประเมินมูลค่าแบบ SOTP แยกระหว่างธุรกิจหลักที่เป็นอาหารทะเล และธุรกิจ PetCare&Value-added ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 23.50 บาท เทียบเท่า PER ปี 2566 ที่ 14.9 เท่า มี Upside gain 25.7% จึงคงคำแนะนำ ซื้อ
.
ขณะที่การนำบริษัทลูก I-Tail Corporation (ITC) ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 4/65 จะช่วยปลดล็อกมูลค่าธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่กำไรมีการเติบโตสูง และคาดหนุนให้ TU ซื้อขายที่ระดับ PER ที่สูงขึ้น นอกจากนี้คาดว่าผู้ถือหุ้น TU จะได้รับสิทธิในการซื้อหุ้น ITC ในสัดส่วนหุ้น TU ต่อหุ้น ITC ที่ 36 : 1
.
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังประเมินว่า TU จะไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้าน Recession ในยุโรป และสหรัฐฯ เนื่องจากสินค้ามีความจาเป็นต่อการดำรงชีวิต และราคาต่ำกว่าเทียบกับอาหารชนิดอื่น ขณะที่ต้นทุนไฟฟ้าในยุโรปที่สูงขึ้นบริษัทได้รับผลกระทบจำกัดเช่นกัน