"หุ้นในพอร์ตควรมีกี่ตัว
แล้วควรขายหุ้นตอนไหน ?"

.
หากเราลองกวาดตาดูในตลาดหุ้นไทย จะพบว่ามีหุ้นอยู่มากกว่า 600 บริษัท กระจายกันออกไปในแต่ละอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันออกไป ครั้นจะเลือกลงทุนตัวนั้น ก็อาจจะมีความเสียดายตัวนี้ อยู่บ้างใช่หรือไม่ ?
.
หลายคนที่ตัดสินใจไม่ถูก ก็ซื้อมาเป็นกระบุง โดยให้เหตุผลในการปลอบใจตัวเองว่า สาเหตุที่ซื้อหุ้นเข้ามาในพอร์ตเยอะนั้น ก็เป็นเพราะต้องการกระจายความเสี่ยงเท่านั้นเอง ..
.
สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่เยอะ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องผิดซะทีเดียว เพราะหากมีเวลามาจัดการพอร์ต และ ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวกับหุ้นที่ถืออยู่ได้อย่างครบถ้วน ครั้นจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกจริงป่ะ ?
.
ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่จำนวนน้อยเกินไป จะไปว่าเขา ว่าทำไมไม่กระจายความเสี่ยงก็คงไม่ถูกอีก เพราะหากเขาเลือกหุ้นที่ถูกตัว เป็น Growth Stock โตแรงต่อเนื่อง ก็ไม่รู้จะไปกระจายความรวยทำไมอีกเช่นกัน ..
.
คำถามที่หลายคนมักชอบถามว่า "เราควรมีหุ้นในพอร์ตกี่ตัวดี ?" จึงเหมือนคำถามโลกแตก ที่มันอาจไม่สามารถหาจุดที่ดีที่สุดจุดเดียว เพื่อมาใช้กับทุกคนได้ เพราะแต่ละคนก็มีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป
.
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนหุ้นในพอร์ตของตัวเองไว้อย่างน่าสนใจ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯมองว่า จำนวนหุ้นที่มีความพอดีนั้น ควรมีสัก 4 - 10 ตัวก็พอแล้ว
.
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การมีหุ้นสัก 4 - 10 ตัว ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างดีแล้ว โดยเราอาจเลือกหุ้นจากอุตสาหกรรมที่ดี เข้ามาอยู่ในพอร์ตของเรา อุตสาหกรรมละตัวก็เพียงพอแล้ว
.
การกระจายลงทุนในหุ้นเพียง 4 - 10 ตัว นอกจากเป็นการกระจายความเสี่ยง ในจำนวนที่เหมาะสมกว่าปริมาณอื่นแล้ว ยังเป็นจำนวนที่ง่าย ต่อการติดตามข่าวสารรายบริษัทอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เรารับรู้ข่าวสารได้ทั่วถึง และ ลดความเสี่ยงการลงทุนได้
.
ทีนี้ เมื่อทุกคนพอจะมีไกด์ไลน์คร่าวๆจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับจำนวนหุ้นในพอร์ตที่ควรมีแล้ว แอดขอพาทุกคนข้ามไปที่คำถามโลกแตกอีก 1 คำถาม อย่าง "แล้วเมื่อไหร่ควรขายหุ้น ?" ต่อเลยนะ
.
แน่นอนว่า การมีจำนวนหุ้นที่เหมาะสม จะทำให้เราสามารถดูแลพอร์ตได้อย่างทั่วถึง แต่ 1 ในการทำกำไรจากหุ้น คือการขายหุ้นออกไปใช่ป่ะ ? ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนยังลังเล ว่า ควรขายอย่างไร ตอนไหน ? เพราะเป็นขั้นตอนที่สำคัญชี้วัดว่ากำไรของเรา จะอยู่ที่เท่าไรนั่นเอง
.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า สาเหตุที่คำถาม "แล้วเมื่อไหร่ควรขายหุ้น ?" เป็นคำถามที่หลายคนสนใจ เพราะส่วนใหญ่เวลาซื้อหุ้น มักจะมีคนมาแนะนำจังหวะในการเข้าซื้อ แต่น้อยครั้งที่จะมีคนมาบอกว่าควรขายหุ้นได้แล้ว ..
.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำว่า การขายหุ้นออกไป สามารถทำได้โดยแบ่งขายทำกำไร ซึ่งเราอาจจะทยอยขายทำกำไรตามราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเทคนิคนี้เราจะกำหนดให้ชัดเจนในแผนการลงทุนว่า ... หากราคาหุ้นขึ้นไปถึงระดับที่ต้องการแล้ว เราจะทยอยขายหุ้น เช่น หากราคาหุ้นขึ้นไปทุก 10% เราจะทยอยขายหุ้นที่ถืออยู่ 5% เป็นต้น
.
การทำเช่นนี้ จะช่วยให้เราไม่พลาดจังหวะเวลาหุ้นขึ้น สามารถล็อคทำกำไรได้บางส่วน และช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนในกรณีที่ถือหุ้นนานเกินไปได้อีกด้วย
.
แต่หากใครมองว่าเทคนิคนี้ไม่เข้ากับเรา อาจใช้เทคนิคการ "Rebalance" พอร์ตเป็นตัวช่วย โดยเราจะกำหนดสัดส่วนการถือครองหุ้นแต่ละตัวอย่างชัดเจน หากราคาหุ้นตัวไหนปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือลดลงจนทำให้สัดส่วนของหุ้นตัวนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ก็จะมีการปรับให้กลับมาเท่าเดิม
.
เช่น พอร์ตลงทุนของเรากำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น A ไว้ที่ 20% ของพอร์ต เมื่อราคาหุ้นขึ้นเรื่อยๆ จนสัดส่วนการลงทุนของหุ้น A กลายเป็น 25% ของพอร์ต เราจะขายหุ้น A ออกมาให้คงเหลือการถือครองหุ้น 20% เท่าเดิม ส่วนเงินที่ขายออกมา 5% อาจจะนำไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นตัวอื่น หรือถือเป็นเงินสดไว้ เพื่อรอจังหวะการเข้าลงทุนต่อไปก็ได้
.
การตัดแต่งพอร์ตลงทุนแบบ "Rebalance" หรือจัดสวนลงทุนนี้ จะช่วยให้พอร์ตลงทุนของเรามีความเสี่ยงที่ลดลง แถมยังมีเงินเหลือเพื่อรอเข้าซื้อหุ้นหากมีความผิดปกติในหุ้นบางจังหวะอีกด้วย
.
ซึ่งการปรับพอร์ตแต่ละครั้ง เราอาจจะกำหนดระยะเวลา เช่น จะ Rebalance ทุกเดือน หรือทุกไตรมาส เพื่อไม่ให้การปรับพอร์ตนั้นบ่อยเกินไป หรือในบางกรณี เกิดเหตุการณ์สำคัญ ก็อาจเข้ามาปรับพอร์ตลงทุนให้กลับมาสมดุลอีกครั้งก็ได้
.
และทั้งหมดนี้ คือข้อมูลดีๆจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับจำนวนหุ้นในพอร์ต และ การตัดสินใจขายหุ้นออกไปอย่างไร ที่แอดหยิบมาฝากทุกคนวันนี้นะ หวังว่า จะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยนะ วันนี้ไปก่อนแล้ว บ๊าย บาย ...
.
by บ.บูม
