ห้องเม่าปีกเหล็ก

'อิเล็กทรอนิกส์ไทย'! ผู้ผลิตเร่งปรับตัวรับมือ ‘เกมใหม่’

โดย เม่าคาวบอย
เผยแพร่ :
20 views

ภาษี 19%สหรัฐ ซัด 'อิเล็กทรอนิกส์ไทย'! ดีมานด์หด ผู้ผลิตเร่งปรับตัวรับมือ ‘เกมใหม่’

 

  • สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 19% สะเทือนอุตฯ อิเล็กทรอนิกส์ไทย ส่งผลให้ ราคาสินค้าสูงขึ้น และกระทบต่อความต้องการซื้อที่ลดลง
  • ผู้ผลิตต้องชะลอการผลิต เพื่อจัดการกับสต็อกสินค้าคงคลังที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ ก่อนการประกาศใช้ภาษี
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย จำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับ "เกมใหม่" โดยเร่งนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ, ทบทวนห่วงโซ่อุปทาน และลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐ
  • มีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากกฎเกณฑ์ "Local Content" หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนด อาจถูกพิจารณาว่าเป็นการสวมสิทธิ์ (Transshipment) และถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 40%

 

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ไทย กล่าวกับ  “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตรา 19% จากสหรัฐ แม้อัตราภาษีดังกล่าวจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ 20% แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในแง่ของความต้องการสินค้า และการปรับตัวในเชิงโครงสร้างของผู้ประกอบการ การเรียกเก็บภาษี 19% ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะนำไปสู่การบริโภคที่ลดลงเป็นไปตามหลักจิตวิทยา ประเด็นสำคัญคือ ใครจะเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ 

ขณะเดียวกัน จะเห็นการชะลอการผลิตและการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง โดยช่วง 7-8 เดือนก่อนหน้าการประกาศภาษีอย่างเป็นทางการ ผู้ประกอบการได้ประเมินสถานการณ์และมีการสั่งซื้อ หรือส่งออกสินค้าออกไปยังสหรัฐก่อนหน้านี้แล้วจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้เกิดภาวะสินค้าคงคลัง (inventory) ที่สูงขึ้น การปรับลดระดับสินค้าคงคลังเหล่านี้จะนำไปสู่ การลดการผลิตลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการย้ายฐานการผลิตถือว่า ดูเหมือนจะหมดไป เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นตัวเปรียบเทียบ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ต่างเผชิญกับอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกัน และประเทศที่มีภาษีต่ำกว่ามากก็ไม่ใช่แหล่งที่สามารถรองรับการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ได้

ดร.สัมพันธ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย ยังต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันเรียกร้องให้มีการปรับตัวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เช่น เร่งนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ผู้ผลิตจำเป็นต้อง เร่งนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน สิ่งที่เคยถูกมองว่ายังไม่จำเป็นต้องเร่งลงทุนในอดีต อาจต้องถูกผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนในปัจจุบัน

การบริหารจัดการซัพพลายเชน   

นอกจากนี้  ผู้ผลิตยังต้องประเมินห่วงโซ่อุปทานของตัวเองอย่างรอบคอบ ซัพพลายเออร์ขนาดเล็ก (SMEs) ที่ยังอยู่ในระดับ Industry 2.0 จะเผชิญความยากลำบากอย่างมาก หากผู้ผลิตรายใหญ่ส่งผ่านภาระภาษี 19% ไปให้ การเปลี่ยนแปลงซัพพลายเออร์ในภาคอิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ผู้ประกอบการจึงต้องพิจารณาว่าซัพพลายเออร์รายใดจะอยู่รอดได้ หรือต้องหาแหล่งทดแทน ซึ่งจะเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

ส่วนในระยะยาว บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการ ลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ แม้ว่าการหาตลาดใหม่จะดำเนินการอยู่แล้ว แต่จะต้องทำอย่างเข้มข้นและใช้พลังงานมากขึ้น เป็นโจทย์ที่บังคับให้ไทยต้อง เปลี่ยนยุทธศาสตร์องค์กรใหม่ทั้งหมด ในด้านประสิทธิภาพ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการบริหารความเสี่ยง

สำหรับประเด็น Local Content และความเสี่ยงเรื่อง Transshipment  ปัจจัยสำคัญที่ยังคงไม่ชัดเจนคือ กฎเกณฑ์เกี่ยวกับ "Local Content" (สัดส่วนวัตถุดิบหรือการผลิตภายในประเทศ) โดยมีหลักการว่าหาก Local Content ต่ำ ต้นทุนก็จะสูงขึ้น โดยบางผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผลิตในประเทศไทยมาแล้วเป็นระยะเวลานานมีสัดส่วน Local Content เกิน 50% อยู่แล้ว แต่ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด หรือมีการเปลี่ยนโมเดลบ่อยครั้ง  Local Content อาจยังน้อย

ความกังวลที่สำคัญคือ หากสัดส่วน Local Content ไม่เป็นไปตามที่กำหนด อาจถูกตีความว่าเป็นการ "Transshipment" ซึ่งจะทำให้ ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% แม้จะมีการยืนยันว่าประเทศไทยไม่มีการ "สวมสิทธิ์"  แต่ปัญหาอาจเกิดจากการที่ รายชื่อซัพพลายเออร์อาจไม่เป็นที่พอใจของสหรัฐ ก็เสี่ยงถูกจัดให้อยู่ในอัตราภาษี 40% แทนที่จะเป็น 19% ก็เป็นได้

ภูมิทัศน์ใหม่ของธุรกิจและความไม่แน่นอน

ดร.สัมพันธ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจทางการค้าและเศรษฐกิจ ผูกโยงอยู่กับอารมณ์และการเมืองมากขึ้น โลกกำลังก้าวเข้าสู่ "เกมกฎเกณฑ์แบบใหม่" ที่ยากต่อการคาดเดา ยุคของโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่เคยมีมาตรฐานและมาตรการที่คาดการณ์ได้กำลังเปลี่ยนไป ดังนั้น การวางแผนและการบริหารความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ อุตสาหกรรมที่ยังคงอยู่ในระดับ Industry 2.0 (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ใช้ AI หรือเทคโนโลยี 4.0) จะเผชิญกับความยากลำบากในการอยู่รอดและแข่งขันมากขึ้นจากนี้

“เรากำลังจะเขียนอนาคตอิเล็กทรอนิกส์ไทยใหม่ การแข่งขันระหว่างประเทศ จะแข่งเรื่องความร่วมมือ ระหว่างรัฐ เอกชน และภาคการศึกษา ในการเร่งนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ปรับปรุงประสิทธิภาพ อย่างก้าวประโดด เพราะบางประเทศ หากเขาขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ได้ดีกว่าเรา เขาจะได้เปรียบขึ้นมาทันที” ดร.สัมพันธ์ กล่าว

 

ที่มา.  https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1192643

 


เม่าคาวบอย