กลยุทธ์ลงทุนปี 60 เล็งตลาดให้น้ำหนัก "มูลค่าหุ้น" มากกว่า "การเติบโต"
วอลุ่มตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 4 หมื่นล้าน (พุธ 21 ธ.ค.) ในช่วงปลายปีที่นักลงทุนต่างชาติหนีหาย แต่ทิ้งไว้ด้วยยอดขายสุทธิกว่า 2 พันล้านบาท ปล่อยให้รายย่อยรับไปในเม็ดเงินซื้อสุทธิพอๆ กัน ภาวะตลาดกำลังเพิ่มความไม่มั่นใจแก่นักลงทุน แม้เฟดจะชัดเจนถึงทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในปีหน้า แต่การพักฐานรอบนี้ของ SET index ยังไม่มีใครฟันธงชัดๆ ว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าหรือไม่?
“ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง บอกว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าจะเติบโตไม่ร้อนแรง แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหากดดันความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศแต่อย่างใด
ในเบื้องต้น เขาประเมินอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2560 จะเติบโต 3.2-3.5% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% เช่นเดิมตลอดทั้งปีหน้า ยกเว้นหากเม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากไทยเป็นจำนวนมาก
ค่ายบัวหลวงให้สมมติฐาน อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ จะเฉลี่ยที่ 35.70 บาทในปี 2560 ซึ่งเมื่อนำปัจจัยต่างๆ มาประมวลแล้ว โบรกเกอร์รายนี้ได้ประเมินเป้าหมายดัชนี SET ในปี 2560 จะอยู่ที่ 1,670 จุด อิงกำไรต่อหุ้น 106.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งใกล้เคียงกับระดับค่าเฉลี่ยของ Consensus ที่ระดับ 107 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โบรกเกอร์บัวหลวงคาดจะเติบโต 10% โดยมี Dividend yield เฉลี่ย 3.2% ขณะที่ความแข็งแกร่งด้านการเงินยังมั่นคง พร้อมประเมินด้วยว่า บจ.ไทยจะมีค่าเฉลี่ยหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.62 เท่า
คุณชัยพร มองปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่นักลงทุนต้องระวังและติดตามใกล้ชิด ก็คือ การเดินหน้านโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ ว่าจะทำได้ตามที่เคยหาเสียงหรือไม่ โดยเฉพาะแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ได้ตอบรับไปพอสมควรแล้ว แต่ถ้าหากทำไม่ได้ ก็อาจจะส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนเกิดความผันผวน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ถูกเก็งกันว่าจะปรับขึ้นถึง 3 ครั้งในปีหน้า
สำหรับตลาดหุ้นไทย หัวหน้างานวิจัย บัวหลวง มองโอกาสจะเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาในหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกคงจะยาก จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวชัด แต่ตลาดหุ้นไทยยังสามารถถูกคาดหวังจากเม็ดเงินต่างชาติในฝั่งยุโรป ที่กำลังมีความเสี่ยงเรื่องการโหวตออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน และหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งในปีหน้าด้วย
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยกดดันต่างประเทศเป็นสำคัญ แต่คุณชัยพรประเมิน “Downside” ของตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะหลุด 1,400 จุด เพราะมีปัจจัยในประเทศรองรับ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการบริโภค ตามราคาสินค้าเกษตรกลับมาฟื้นตัวโดดเด่น และการเร่งลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐหลายโครงการ
ดังนั้น ในมุมมองกลยุทธ์การลงทุนในปี 2560 นักลงทุนจะหันมาให้ความสำคัญในเรื่อง “มูลค่าหุ้น” มากกว่าจะมองเรื่อง “การเติบโต” ที่เคยเป็นธีมลงทุนในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นขึ้นมาสูงจนเทรดบน P/E เฉลี่ยระดับ 50-60 เท่า ดังนั้น ภายใต้ความผันผวนและความไม่แน่นอนต่างๆ ตลาดกำลังจะหันมาเน้นพิจารณามูลค่าหุ้นให้มากขึ้น
สำหรับธีมลงทุน ค่ายบัวหลวงเลือกหุ้นที่อิง “Soft กับ Hard Commodity” เป็นหลัก เพราะมองว่าพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว อาทิ กลุ่มน้ำมัน ปิโตรเคมี และน้ำตาล เป็นต้น นอกจากนั้น ธีมอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ได้เลือกหุ้น BLA และ SCB
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” คือ ILINK และ ITEL ขณะธีมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เลือก SCC เพราะมองว่าราคายัง “Laggard” เมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ราคาขึ้นไปสูงแล้ว
ส่งท้ายด้วยมุมมอง “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2560 คาดว่าจะเติบโตได้ 3.2% และประเมินดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,600 จุด บน P/E 16.5 เท่า และกำไร บจ.จะเติบโตเฉลี่ย 8% ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 35-36.50 บาทต่อดอลาร์สหรัฐฯ โดยสาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ กลับมาฟื้น ส่งผลให้ดึงเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ ขณะที่ให้จับตานโยบาย "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่อาจจะกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงโลกในปี2560 ประกอบด้วย 3 ประเด็น ได้แก่ :
1) ให้จับตาเงินดอลลาร์แข็งค่าจากนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้เงินไหลเข้าไปในสินทรัพย์ลงทุนสหรัฐฯ มากขึ้น
2) ให้จับตาถ้าเฟดเกิดขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด 2-3 ครั้ง กระแสเงินจะไหลกลับมายังตลาดเกิดใหม่ในเอเชียทันที ซึ่งคาดว่าจะเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง
3) ให้จับตาปัจจัยเหนือความคาดหมายอย่างการเลือกตั้งในยุโรปที่กำลังจะเกิดขึ้นในหลายประเทศ เพราะมีความเสี่ยงการโหวตออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หนุนให้เกิดการพักเงินในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และกระจายการลงทุนไปยังหลายสินทรัพย์ แต่ยกเว้นทองคำ เป็นต้น
ขอบคุณที่มาจาก Money Channel