Stock Review : STA หรือยางพาราจะกลับมา ?
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องของยางพาราตกต่ำ ซึ่งเคยสร้างระดับราคาสูงสุดที่เกือบ 200 บาทต่อกิโลกรัม และลงมาตกต่ำที่ระดับราคา 40 บาทต่อกิโลกรับภายในไม่กี่ปี และนั้นเองก็ส่งผลกระทบกับบริษัทยางต้นน้ำอย่างศรีตรังแองโกลอินดัสทรี หรือ STA
STA เป็นบริษัทผู้ผลิตยางพาราแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นยางต้นน้ำ คือ การปลูกยางพารา ยางกลางน้ำ คือ การแปรรูปเป็นยางแท่ง ยางก้อน น้ำยาง ยางแผ่นรมควัน ยางปลายน้ำ คือ การแปรรูปเป็นยางสำเร็จรูป เช่น ถุงมือยาง สายไฮดรอลิค หรือแม้กระทั่งขายไม้ยางพารา และรายได้ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากยางพารา ผลประกอบการก็เลยผันผวนไปตามราคายางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งนึงที่นักลงทุนต้องรู้สึกแปลกใจจริงๆ คือ ทำไม STA ถึงยังยืนอยู่ได้ท่ามกลางความยากลำบาก บริษัทสร้างกำไรและยังปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ถือว่าเป็นบริษัทที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ยากลำบาก ตามตำราของฟิลลิป ฟิชเชอร์ ก็อาจจะไม่ผิดเพี้ยนมากนัก
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถสร้างเศรษฐี และยาจกได้ในสินค้าตัวเดียวกัน แต่ต่างเวลากัน
ราคาหุ้น STA ผันผวนไปตามราคายางพารา
ราคาหุ้นย้อนหลังของตัวหุ้นเคยสร้างจุดสูงสุดที่ 40 บาท ก่อนจะตกลงมาแรงแถวระดับราคา 10 บาท ถือว่าเป็นหุ้นที่สร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และเมื่อหุ้นที่ไม่วิ่ง ก็จะได้รับบทลงโทษ คือ นักลงทุนก็ไม่อยากเข้าไปข้องแวะมากนัก อีกทั้งนักวิเคราะห์ก็ไม่ค่อยได้ติดตามหุ้นตัวนี้กันสักเท่าไรเพราะการประมาณกำไรเป็นเรื่องที่ทำยาก
ราคายางขึ้นตรงกับความต้องการซื้อ ความต้องการขาย ในช่วงที่ผ่านมาความต้องการขายมีมากทำให้ราคายางตกต่ำ เมื่อมันตกต่ำทำให้เกษตรกรยากที่จะอยู่ได้ เริ่มโค่นสวนยางไปปลูกพืชชนิดอื่น ซัพพลายเริ่มหายไปจากตลาดมาก อีกทั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติภัยแล้งที่เริ่มรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ต้นยางให้น้ำยางดิบที่น้อยกว่าที่คาด เร็วๆนี้อาจจะต้องมีการประมาณการณ์กันใหม่ ในขณะที่ความต้องการซื้อประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน (คิดเป็น 45% ของความต้องการซื้อทั่วโลก) เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว การบริโภคน่าจะมีมากขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทศรีตรัง บทวิเคราะห์ต่างชาติ ต่างก็คิดกันว่าราคายางน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่คงไม่น่าจะกลับไปเล่นที่ 100 บาทได้ จุดสมดุลของราคายางน่าจะอยู่แถวๆ 60-70 บาท แต่หลายครั้งประวัติศาสตร์ก็บอกเราเสมอ ไม่มีคำว่าจุดสมดุลอยู่ในความโลภและความกลัวของคน
จีนเป็นผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ของโลก และเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ STA มีสัดส่วนมากถึง 45%
STA เคลมตัวเองว่าเป็นบริษัทยางพาราอันดับหนึ่งของโลก ด้วยยอดการขายของบริษัทมากถึงเกือบ 10% ของยอดการใช้ทั้งหมด (ยอดการใช้ยางพาราอยู่ที่ 13 ล้านตัน แต่ STA ส่งออกมากถึง 1.3 ล้านตัน) ถ้าฟังข้อมูลตรงนี้แล้วต้องรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจมากที่บริษัทของคนไทยก้าวขึ้นสู่ระดับโลกได้ นอกจากนี้บริษัทก็โปรโมตตัวเองว่ามีที่ดินที่ใช้ในการปลูกยางมากถึง 50,000 ไร่ และเป้าหมายจะอยู่ที่ประมาณ 80,000 ไร่ มีกำลังการผลิตกลางน้ำเป้าหมายอยู่ที่ 2.4 ล้านตันต่อปี มีสำนักงานขายอยู่ที่สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นช่องทางในการส่งออก นอกจากนั้นยังมีอุตสาหกรรมทำถุงมือยางผ่านบริษัทสยามเซมเพอร์เมด ทำท่อไฮโดรลิค มือจับบันไดเลื่อน และยังมีอุตสาหกรรมขายไม้ยางพาราเพื่อใช้ในการแปรรูปทำเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย ถือว่าครบวงจรจริงๆ
ผลประกอบการของ STA ที่ผ่านมา กำไรกระโดดไปมา ทำให้ค่า P/E ผันผวนมาก บางปีมี PE ที่ 200 เท่า บางปีกลับมาที่ 10 เท่า บางปีเล่นกันต่ำมากที่ 8 เท่า ซึ่งถ้าเราเข้าใจเกี่ยวกับค่า P/E ดี หุ้นโภคภัณฑ์นั้นจะใช้ค่า P/E ในการดูความถูกแพงของหุ้นไม่ได้อยู่แล้ว จึงนิยมดู P/BV แทน เพราะเป็นการเทียบกับมูลค่าทางบัญชีแทน จะเห็นได้ว่ามูลค่าทางบัญชีของ STA อยู่ที่ 16 บาท แต่ปัจจุบันเล่นกันที่ 12 บาทเท่านั้น P/BV จึงเล่นต่ำกว่า 1 เท่า ถือว่าหุ้นถูกมาก และการปันผลก็อยู่ที่ประมาณ 2-4% ถือว่าทำได้ดีแล้วสำหรับหุ้นที่มีกำไรผันผวนแบบนี้ แต่สิ่งที่ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก ก็น่าจะเป็นมาร์จิ้นของบริษัทที่ต่ำเตี้ยติดดินแค่ 1% กว่าๆเท่านั้นเอ งหมายความว่าถ้าบริษัทขายของได้ 100 บาท จะกำไรแค่ 1 บาทเท่านั้น ซึ่งน้อยมากจริงๆ ROE ก็ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก ซึ่งอัตราส่วนสำคัญทางการเงินที่ต่ำแบบนี้จะไม่ตกเป็นเป้าหมายของกองทุน
งบดุฃของบริษัทแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น 1 เท่านิดๆ แต่กำไรสะสมเยอะมาก ถือว่าที่ผ่านมาบริษัททำผลงานได้ดี
แต่ต้องยอมรับว่า งบดุลของบริษัทแข็งแกร่งมาก และหนี้สินของบริษัทก็ไม่เยอะ แต่ที่น่าสนใจจริงๆ คือ ส่วนของกำไรสะสมของบริษัทที่มีประมาณหมื่นล้าน .. หุ้นสามัญของบริษัทมีอยู่ 1280 ล้านหุ้น ถ้าเอามาเทียบจะเห็นว่าใน 1 หุ้น จะมี 8 บาทซึ่งเป็นกำไรสะสมอยู่ในนั้น (10549/1280 = 8.24) หลายตำราบอกว่าถ้าบริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่ง มันจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นได้ว่า บริษัทนั้นไม่เจ๊งแน่นอน
ข้อดี
- บริษัทมีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และยังมีอุตสาหกรรมแปรรูปถุงมือยาง ขายไม้ยางพาราอีกด้วย
- บริษัทเป็นที่ 1 ของโลกในอุตสาหกรรมยางพารา
- งบดุลของบริษัทแข็งแกร่ง หนี้สินน้อย และกำไรสะสมเยอะ
- พื้นฐานของหุ้นถือว่าไม่แพงมาก เล่นกันด้วย P/BV ที่ต่ำกว่า 1 เท่า **
- บริษัทประกาศจ่ายปันผลตลอด 4 ปีย้อนหลังถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งบริษัท
- บทวิเคราะห์คาดกันว่าราคายางน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ข้อเสีย
- บริษัทมีมาร์จิ้นต่ำมาก แค่ 1% ไม่มีอะไรให้น่าดึงดูดใจให้กองทุนเข้าไปลงทุน
- บริษัทขายสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งไม่สามารถกำหนดตัวเองได้ ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก ซึ่งก็คือราคายางพาราเป็นหลัก
- ในช่วงหลายปีมานี้ ใช้เงินลงทุนไปมาก แต่กลับให้ผลตอบแทนเพียงนิดเดียว อาจจะดูเหมือนว่าไม่คุ้ม
- ถึงแม้ว่าหลายๆบทวิเคราะห์จะบอกว่าราคายางพาราทำจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะฟื้นตัวมาอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนในเรื่องของเวลา ใช้เวลานานกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม STA ได้ชื่อว่าเป็นหุ้นเบอร์ 1 ของโลก แต่เล่นราคาต่ำกว่า Book Value ถือว่าไม่สมศักดิ์ศรียิ่งนัก แต่ด้วยความที่บริษัทเรียบๆง่ายๆ ไม่มีอะไรหวือหวาหรือปัจจัยที่น่าสนใจให้เข้าไปลงทุน ราคาหุ้นก็เลยไม่ค่อยไปไหน ข้อสรุปของหุ้น STA คือ หุ้นที่ดี แต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ยากลำบาก
ปล. การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสรุปที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลของผู้เขียนแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งอาจจะมีการย่อความเพื่อให้เข้าใจง่ายและอ่านง่ายยิ่งขึ้น
ปล. 2 : มูลค่าทางบัญชีหรือ Book Value สามารถลดลงได้ ถ้าส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง ซึ่งหมายความว่าถ้าบริษัทมีการขาดทุน หรือทำอะไรก็ตามแต่ให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ลดลง นั้นก็หมายความว่า Book Value สามารถลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วผู้ลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการตัดสินใจลงทุน
อุปสงค์ อุปทานยางพาราย้อนหลัง และคาดการณ์ทั้งปี 2559
ขอบคุณข้อมูลจากรายงานประจำปีของ STA และคำอธิบายงบการเงิน STA ไตรมาส 2 ปี 2559