" แย๊บด้วยการขึ้นภาษี ตามมาด้วยหมัดตรงด้วยการลดดอกเบี้ย! "
การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านําเข้าจากจีนจํานวนที่เหลืออีก 300,000 ล้าน USD จาก 0% เป็น 10% ก่อนโดยให้มีผลในวันที่ 1 กันยายน ปี พ.ศ 2562 และมีโอกาศสูงที่จะขึ้นภาษีเกิน 25% ในอนาคต และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจีนก็คือ :
1) สินค้าส่งออกจากจีนเพื่อนําไปขายยังสหรัฐอเมริกานั้น ขายไม่ได้ เพราะราคาแพง ทําให้บริษัทห้างร้านในจีนต้องปิดกิจการ หรือย้ายฐานการลงทุนออกมาจากจีนเพื่อมาหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่ในประเทศที่ไม่ได้มีการกีดกันภาษีส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเช่นประเทศไทย เป็นต้น ในขณะเดียวกันคนงานจีนก็จะตกงานเพิ่มมากขึ้น จากผลกระทบจากการขึ้นภาษีคราวก่อนที่ทําคนงานจีนตกงานเพียงแค่ 5 ล้าน คน คราวนี้ คนงานชาวจีนอาจจะตกงานเพิ่มขึ้นเป็นเกิน 20 ล้าน คน และ GDP ของจีนก็น่าจะลดลงจาก 6.2% ( ในไตรมาส 2/2019 ซึ่งเป็น GDP ที่ตํ่าสุดในรอบ 27 ปี ) โดยน่าจะตํ่ากว่า 6% ในไตรมาสถัดไป
2) ถ้าจีนอยากจะขายสินค้าได้ จีนก็จะต้องลดค่าเงินลงมา แล้วเอาเงินไปอุดหนุนบริษัทห้างร้านในจีน ( Subsidize ) ในกรณีนี้ค่าเงินหยวนก็จะกลายเป็นเศษกระดาษในอนาคต เพราะไม่มีค่า ส่วนหนี้ของจีน ( สาธารณะ + เอกชน ) ก็จะพุ่งขึ้นเกิน 303% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลในปัจจุบัน แล้วจะทําให้จีนเป็นประเทศที่มีหนี้สินท่วมหัว แล้วเงินเฟ้อก็จะตามมาเหมือนในประเทศ อาร์เจนตินา ไนจีเรีย และเยอรมนี เป็นต้น ในอดีต
ในส่วนของสหรัฐน่าจะเกิดผลดังนี้ คือ :
1) ได้เงินภาษีนําเข้าจากจีนทันที จํานวน 30,000 ล้าน USD และเงินจํานวนนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถนําไปพัฒนาประเทศได้อีกหลายด้าน
2) เฟดลดดอกเบี้ยลงภาคบังคับโดยทรัมป์ไม่ต้องร้องขอจากทรัมป์เพื่อสู้ศึกกับจีนในครั้งนี้
3) มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนกลับไปสหรัฐอเมริกา และเกิดการสร้างงานในสหรัฐอเมริกาครั้งใหญ่ และจะทําให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเติบโตดีตามมา
4) ชาวอเมริกันมีทางเลือกที่จะซื้อสินค้าที่มีคุณภาพจากที่อื่นที่ไม่ไช่จากจีนแต่ราคาอาจจะสูงกว่าสินค้าจากจีนเพียงเล็กน้อย เพราะสินค้าจากจีนถึงแม้จะมีราคาถูกแต่คุณภาพไม่ดี
5) ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวได้ดีกว่าจีนในปัจจุบัน และน่าจะปรับตัวได้ดีกว่าในอนาคตดังนี้ คือ :
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นที่สําคัญของโลกและตลาดหุ้นไทยเป็นดังนี้ คือ :
1) Down Jones :
1.1) 18,333 จุด เป็น 26,485 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +44.47%
2) Nasdaq :
2.1) 5,193 จุด เป็น 8,004 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +54.13%
3) S&P 500 :
3.1) 2,139 จุด เป็น 2,932 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +37.07%
4) Nikkei :
4.1) 17,171 จุด เป็น 21,087 จุด โดยปรับตัวตัวเพิ่มขึ้น +22.81%
5) Hang Seng :
5.1) 22,909 จุด เป็น 26,918 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +17.50%
6) Shianghai Composite Index :
6.1) 3,147 จุด เป็น 2,867 จุด โดยปรับตัวลดลง -8.90%
7) Set Index :
7.1) 1,510 จุด เป็น 1,684 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +11.52%
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก Yahoo Finance และ ( www.settrade.com )
2) เปอร์เซนต์การเพิ่มขึ้นนั้นเปรียบเทียบระหว่างราคาปิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ปี พ.ศ 2562 กับราคาปิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 ซึ่งเป็นวันก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่แล้ว 1 วัน
3) โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Derivatives ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com และ Group Facebook
ที่ https://www.facebook.com/groups/2088093934817836/