ห้องเม่าปีกเหล็ก

PJW ผนึกกลุ่ม PTT พัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์จากวัสดุสิ้นเปลือง เล็งตั้ง JV

โดย missวิมลรัตน์
เผยแพร่ :
83 views
PJW ผนึกกลุ่ม PTT พัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์จากวัสดุสิ้นเปลือง เล็งตั้ง JV
 
 
.
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยถึงความร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT โดยบริษัทไออาร์พีซี และ บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด หรือ INNOBIC เพื่อศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองว่า การร่วมกันครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้ Strategic Partner โดยนำจุดแข็งของทั้ง 3 บริษัท มาช่วยกันผลักดันในการสร้างมูลค่าการตลาดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองให้เพิ่มสูงขึ้น และยังร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เติบโตไปพร้อมกัน ภายใต้การแสวงหาโอกาสในการลงทุนร่วมกันในธุรกิจผลิต และจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในทางการแพทย์
.
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีสินค้าบางตัวจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 65 โดยจะเริ่มจากการสั่งผลิต (OEM) สินค้าเพื่อนำมาจำหน่ายก่อน และหลังจากนั้นจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อก่อสร้างโรงงานและลงทุนเครื่องจักร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 66 ในขณะเดียวกันในกรอบ MOU นอกจากจะพัฒนาสินค้าด้วยตัวเองแล้ว ยังจะมีการศึกษาและมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ เพื่อจะนำองค์ความรู้ต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนและเร่งรัดการเติบโตของบริษัทไปพร้อมกันด้วย
.
นายวิวรรธน์ กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายภายในระยะ 3-5 ปีจากนี้ โดยมองว่าผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์จะสามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ไม่น้อยกว่า 3,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้รายได้รวมภายใน 5 ปีข้างหน้าของ PJW แตะที่ระดับมากกว่า 10,000 ล้านบาท
.
“ด้วยผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้คาดว่าอาจเข้ามาหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิของ PJW ใน 5 ปีจากนี้ยืนอยู่ที่เหนือระดับ 20% และ 9% ตามลำดับได้ จากสิ้นปี 64 ที่ระดับ 18.48% และ 5.49% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายในปี 66 เป็นต้นไป”นายวิวรรธน์ กล่าว
.
นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และประธานกรรมการบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด หรือ INNOBIC กล่าวว่า สำหรับการร่วมกันครั้งนี้ เป็นการสร้างการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของอาเซียนในไทย สามารถสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมไทย ทั้งนี้ จะศึกษาเพื่อผลิตสินค้าที่มีความต้องการของตลาด แต่ยังไม่มีนวัตกรรมที่เหมาะสมและยังไม่ได้ผลิตในประเทศในปัจจุบัน ซึ่งการร่วมมือกันครั้งนี้จะเป็นรากฐานและเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ของไทยต่อไปในอนาคต
.
ทั้งนี้ บริษัท มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมกลุ่ม NEW S Curve และการเป็น Medical Hub ของรัฐบาล ซึ่งอุตสาหกรรมวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ถือเป็น New S Curve ที่สำคัญของไทย
.
นายณัฐ อธิวิทวัส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จัด INNOBIC กล่าวว่า การร่วมกันในครั้งนี้กับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ PJW โดยจะเป็นโครงการพัฒนาต่อเนื่องจากทางบริษัทมีการร่วมทุนในการผลิตวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ร่วมกับทาง IRPC ไปก่อนหน้าแล้ว รวมถึงได้ร่วมทุนผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็น Durable Medical Device เพิ่มเติมไปแล้วอีก 1 บริษัท
.
อย่างไรก็ตาม จากการร่วมกันในครั้งนี้ จะทำให้สามารถผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการตลาดทั้งในและต่างประเทศและกลุ่มประเทศภูมิภาคนี้ด้วย รวมถึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจวัสดุทางการแพทย์ของไทย
.
นายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายห่วงโซ่อุปทานธุรกิจ รวมถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของประเทศ ที่ทั้ง 3 บริษัท จะร่วมกันศึกษา พัฒนาและแสวงหาโอกาสในการลงทุนร่วมกันในธุรกิจการผลิต และจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ทางการแพทย์ โดยมุ่งที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงและแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนและผลักดันนโยบายของประเทศในการก้าวสู่เป็น Medical Hub อย่างเต็มรูปแบบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
.
สำหรับทิศทางตลาดเครื่องมือและวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของของโควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการสินค้ากลุ่ม Medical เติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับช่วงปี 65 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หรือมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 9 ปีข้างหน้า หรือ ในปี 74 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด โดยมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% ซึ่งจะเป็นโอกาสทางการตลาดที่ดี
 
 
 

missวิมลรัตน์