Funding ที่ (กำลัง) หายไป
ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพดำเนินไปได้ด้วยเงินทุนจาก VC แต่วิกฤติโควิด-19 ทำให้สตาร์ทอัพหลายรายต่างได้รับผลกระทบ เนื่องจากองค์กรธุรกิจมองว่ากระแสเงินสดคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจรอดและฝ่าความท้าทายไปได้ จึงอาจโฟกัสเฉพาะสตาร์ทอัพรายเดิม และชะลอลงทุนในรายใหม่ๆ
อีกแรงกระเพื่อมของวิกฤติ COVID-19 ที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้มจะส่งผลต่อการพัฒนาระบบนิเวศของสตาร์ทอัพทั่วโลก ก็คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพลดลง ตัวเลขล่าสุดของการลงทุนกับสตาร์ทอัพในเอเชีย เงินลงทุนจาก VC ลดลงในไตรมาสแรกถึงจุดต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี และยังมีทีท่าที่จะลดลงต่อเนื่องในไตรมาสที่สอง
ผู้บริหารกองทุนรายใหญ่ๆ หลายราย อย่าง Sequoia และ Andreessen Horowitz เริ่มแนะนำสตาร์ทอัพใน Portfolio ให้เตรียมพร้อมรับมือด้วยการลดค่าใช้จ่ายลงแบบมีนัยสำคัญ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินสดอย่างระมัดระวังมากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน สตาร์ทอัพบางรายมีรายได้แทบเป็นศูนย์ตั้งแต่เริ่มมีการ Lockdown โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น
Travel และ Lifestyle ส่วนกลุ่มที่มีลูกค้าองค์กรหรือ B2B ถึงแม้จะยังคงมีลูกค้าอยู่ แต่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะการใช้บริการ Enterprise Services ในหลายๆ ด้านลดลง รายงานการสำรวจของ PwC USA ช่วงต้นเดือนเมษายน ระบุว่า CFO ขององค์กรใหญ่กว่า 80% ตั้งเป้าที่จะลดการใช้งบประมาณในโครงการที่เกี่ยวของกับการบริหารจัดการทั่วไปและอาคารสถานที่ 60% มีแผนการลดต้นทุนการดำเนินงานในทุกส่วนอีกกว่า 50% มองว่าจะลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับ IT
ในวิกฤติที่องค์กรธุรกิจล้วนมองว่า กระแสเงินสดคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจรอดและฝ่าด่านความท้าทายครั้งนี้ไปได้ การลงทุนและการใช้งบประมาณจึงกลายเป็น สิ่งที่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้บริหารองค์กรใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าในอีก 18 เดือนข้างหน้า Best Case Scenario ขององค์กร คือ ยอดขายตก ผลกำไรลดลง แต่ยังทำธุรกิจต่อไปได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมาก
Base Case Scenario คือ ธุรกิจหดตัว และต้องปรับลดโครงสร้างต้นทุนและการดำเนินงานบางส่วน Worst Case Scenario ก็คือการ Restructuring ครั้งใหญ่และอาจต้องมองเรื่องการควบรวมธุรกิจเป็นอีกหนึ่งทางออก
วาระองค์กรของแทบจะทุกองค์กรในเวลานี้ก็คือ “ต้องรักษาสภาพคล่องและตุนกระแสเงินสด” ซึ่งเกี่ยวพันกับสตาร์ทอัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเงินลงทุนของ Venture Capital คือการลงทุนเพื่อ Financial Gain ถ้าสตาร์ทอัพไม่สามารถ Exit ได้ด้วยกลไกต่างๆ เช่น IPO หรือ M&A กับองค์กรขนาดใหญ่ได้ VC ก็จำต้องชะลอการลงทุนในสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ แต่จะโฟกัสในการสนับสนุนทางการเงินกับสตาร์ทอัพที่อยู่ใน Portfolio เดิมของตัวเอง
อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกับการลงทุนของสตาร์ทอัพทั่วโลกในวันนี้ก็คือ ข้อจำกัดในการทำธุรกิจ Cross-border ด้วยการจำกัดการเดินทางและ Lockdown ของ แต่ละประเทศ การทำ Due Diligence กับนักลงทุนต่างชาติจึงทำได้ยากขึ้น สตาร์ทอัพไทยบางรายตอนนี้อยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะดีลที่กำลังเจรจาอยู่กับ VC ต่างชาติ มีแนวโน้มที่จะถูกแขวนแบบไม่มีกำหนด
ส่วนสตาร์ทอัพกลุ่ม Seed Stage ที่พึ่งพาการระดมทุนจาก Angel Investor วันนี้ก็อยู่ในจุดที่ลำบากเช่นกัน เพราะ Angel Investor เองก็มีความระมัดระวังและอยู่ในโหมด Wait and See มากกว่าที่เคย ที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้จะลงทุนด้วยความเชื่อมั่นใน Founder เลือกลงทุนในสตาร์ทอัพในเซ็กเตอร์ที่ตัวเองสนใจ เพราะมองเห็นโอกาสหรือเคยอยู่ในธุรกิจนั้นมาก่อน แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้มีแนวโน้มชะลอการตัดสินใจ
จุดพลิกผันนี้อาจทำให้สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องหันเหไปทำธุรกิจอื่นด้วย ศักยภาพและแบ็คอัพเดิมๆ ที่ตัวเองมี แต่ผลกระทบในวงกว้างที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็คือ การขาด Pipeline ของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ที่สำคัญการจ้างงานที่จะลดลง เพราะธุรกิจเกิดใหม่คือกลไกขับเคลื่อนการจ้างงานของแรงงาน ในสัดส่วนที่สูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มที่จะลดคนมากกว่าเพิ่ม ล่าสุดบริษัทที่วิจัยเรื่องการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพอย่าง Startup Genome ระบุว่าสตาร์ทอัพส่วนใหญ่กว่า 50% กำลังเหลือ Runway ในการทำธุรกิจอีกเพียงแค่ไม่เกิน 6 เดือน
ถ้าเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในสภาวะนี้ไปอีกกว่า 12 เดือน เราก็จะเห็นสตาร์ทอัพเหลือรอดอยู่ในตลาดจำนวนน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง DeepTech เพราะสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการขายสินค้าหรือบริการ แต่เป็นการพัฒนานวัตกรรมด้วยการลงทุนจาก VC หรือ CVC
สภาวะสุญญากาศในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาระดับประเทศ แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนในระบบนิเวศของการสร้างนวัตกรรมกำลังจับตามองเพื่อสรรหากลไกและมาตรการต่างๆ มาช่วยพยุงให้ฝ่าวิกฤติต่อให้ได้ หลายประเทศฝั่งยุโรปเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น ฝรั่งเศสมีเงินกว่า 4.3 พันล้านเหรียญ จากภาครัฐมาช่วยประคองสถานะการเงินทั้งในรูปแบบเงินกู้ เงินลงทุน หรือ Refinancing package รัฐบาลอังกฤษประกาศให้มี Future Fund ใช้เงินกว่า 250 ล้านปอนด์ เข้าไปทำ Matching Fund ให้กับกลุ่มสตาร์ทอัพ และอีก 750 ล้านปอนด์ UK Grant สำหรับธุรกิจนวัตกรรม
ผลลัพธ์ของการยื่นมือเข้าช่วย อาจจะไม่ได้เป็นการทำเพื่อเห็นผลระยะสั้น แบบเดียวกับการเข้าอุ้มธุรกิจขนาดใหญ่ แต่คือการผลักดันกลไกที่จะตอบโจทย์ของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีกับประเทศในระยะยาว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก