“กองหุ้นขนาดใหญ่” โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกหลากหลาย...
“แชมป์” กับ “บ๊วย” กลุ่ม-ผลตอบแทนต่างกัน 18.39% !!!

.
Fun of Funds: “ตลาดหุ้นไทย” ในปีนี้นับเป็นอีกหนึ่งปีที่ต้องฝ่าวิกฤติต่างๆ จนเรียกได้ว่า...“ล้มลุกคลุกคลาน” กันตั้งแต่ช่วงต้นปีมาถึงไตรมาส 4 /65 หรือช่วงโค้งสุดท้ายของปีกันเลยทีเดียว
.
ช่วง 9 เดือนแรก ดัชนี “SET TRI” ติดลบเล็กน้อย -1.58% ส่วนดัชนี “SET50 TRI” -1.17% ดีกว่าเล็กน้อย เรียกว่าลงทุนกันมาตั้งแต่ต้นปีไม่ไปไหนไกล
.
โดยกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจและความนิยมจากนักลงทุนไทยมากที่สุดก็คงไม่พ้นกลุ่ม “หุ้นขนาดใหญ่” หรือ “บิ๊กแคป” ของตลาด
.
ซึ่งผลงานกลุ่ม “กองหุ้นขนาดใหญ่” นั้นก็มีความหลากหลายในช่วง 9 เดือนแรก ตั้งแต่ -12.13% ถึง +6.26%
.
อย่างไรก็ตามการที่ตลาดไม่ไปไหนก็ทำให้ภาพรวมของ “ตลาดหุ้นไทย” ดูน่าสนใจขึ้นมาบ้าง หลังจาก Forward P/E ในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามาอยู่ที่ระดับ 14.20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 15.19 เท่า แล้ว (แต่ยังคงดูแพงเมื่อเทียบกับหุ้นโลกที่มี Forward P/E 12 เดือนข้างหน้าที่ 13.44 เท่า) (ที่มา: Bloomberg, 3 ต.ค. 22)
.
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานของ “กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่” ในช่วงตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจ
.
Top3 “กองหุ้นขนาดใหญ่” ฟอร์มแจ่ม 9 เดือนแรกโชว์ผลงานเขียวสวนตลาด 1.49 – 6.26%...“TISCOWB-A” แชมป์ผลงานดีสุดในกลุ่ม
.
ปัจจุบัน “กองทุนรวมหุ้นไทยขนาดใหญ่” มีให้นักลงทุนเลือกสรรกันถึง 336 กอง ที่มาพร้อมกับคลาสหรือประเภทต่างให้นักลงทุนเลือกตามความเหมาะสมและสไตล์ของแต่ละคน โดยนโยบายการลงทุนหลักของหุ้นในกลุ่มนี้ก็จะโฟกัสไปในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 เป็นสำคัญ
.
ซึ่งนักลงทุนหลายคนก็อาจสงสัยทิศทางของผลการดำเนินงานหรือผลตอบแทน “กองทุนรวมหุ้นไทย” นั้นจะเป็นเช่นไร เพราะหุ้นรายตัวก็มีทั้ง “ติดลบ” และ “เด้ง” สวนกลับดัชนีตลาด
.
สำหรับความเคลื่อนไหวของผลการดำเนินงานกองทุนก็มีทั้งอยู่ใน “แดนบวก” และ “แดนลบ” ซึ่งเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนเราจึงหยิบกองทุน 3 อันดับที่มีผลงาน “เด่นที่สุด” และ “ดิ่งที่สุด” ของกลุ่มมาให้ชมกัน
.
เริ่ม 3 กองทุนที่มีผลการดำเนินงาน “โดดเด่นที่สุด” ในกลุ่มตั้งแต่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป” หรือ “TISCOWB-A” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันได้ +6.26% ที่จะลงทุนหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี ‘SET Well-being’ (SETWB) เป็นหลัก
.
ถัดมาเป็น “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ อิควิตี้ ชนิดผู้ลงทุนพิเศษ” หรือ “PRINCIPAL EEF-X” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีได้ +1.82% ที่จะเน้นลงทุนในหุ้น หุ้นบุริมสิทธิ และหลักทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้นๆ แล้วแต่กรณี
.
และสุดท้ายเป็น “กองทุนเปิดบีแคป เอ็มเอสซีไอไทยแลนด์ หุ้นระยะยาว” หรือ “BCAP-MSCITH LTF” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีได้ +1.49% ที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ตราสารทุน หรือทรัพย์สินอื่นใดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี ‘MSCI Thailand ex Foreign Board’ ให้มากที่สุด
.
Bottom3 “กองหุ้นขนาดใหญ่” ผลงาน 9 เดือนแรกติดลบไป -8.94% ถึง -12.13%...“KFLTFAST-D” ผลงานแย่สุดในกลุ่ม
.
ในส่วนของฝั่ง 3 กองทุนที่ผลการดำเนินงาน “ดิ่งมากที่สุด” ในกลุ่มเริ่มกันที่ “กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวออลสตาร์ปันผล” หรือ “KFLTFAST-D” ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันติดลบอยู่ -12.13% ที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัททั้งใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ และมีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลที่ดี รวมไปถึงลงทุนในกองทุนรวม ‘iShares Core MSCI World UCITS ETF’ ประมาณ 30%
.
ต่อมาเป็น “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีโกลบอลหุ้นระยะยาว” หรือ “MG-LTF” ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -9.60% ที่จะลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง (Growth Stocks) และลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือมีราคาของหลักทรัพย์ที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน (Value stocks) และกองทุนอาจลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศไม่เกิน 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
.
และสุดท้ายเป็น “กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส” หรือ “SCBLT2” ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -8.94% ที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา
.
“กลุ่ม ‘กองหุ้นขนาดใหญ่’ แม้จะโฟกัสในหุ้นใน ‘ดัชนี SET50’ ซึ่งเป็นหุ้นชั้นนำของประเทศในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่ก็มีความหลากหลายของนโยบายการลงทุนในแต่ละกองและบลจ. ทำให้ผลการดำเนินงานที่ออกมามีความแตกต่างกันตามออกไป เพราะบางกองเองก็สามารถทนทานของภาวะตลาดในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ดีกองทุนที่เราหยิบเป็นเพียงส่วนหนึ่งของออุตสาหกรรมและบางกองก็อาจทำผลการดำเนินงานได้ในสภาวะตลาดที่แตกต่างออกไปเช่นกัน จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน แค่เลือกนโยบายให้ตอบโจทย์ของตัวเองเท่านั้นเอง”
.
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน