ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลัทธิการกินสุดโต่งคร่าชีวิต สตีฟ จ็อบส์?

โดย theMENU
เผยแพร่ :
7,439 views

 

สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับอ่อนในปีค.ศ.2011 หลังจากรุมเร้ามากว่าเจ็ดปี อันที่จริงในตอนแรกที่ทราบผล เขากลับปฏิเสธการผ่าตัดมะเร็งรวมถึงการรักษาอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ที่อาจช่วยชีวิตสตีฟไว้ได้ ไม่สนใจคำคัดค้านของครอบครัว และตัดสินใจรักษามะเร็งด้วยลัทธิการกินแบบสุดโต่ง

สตีฟ จ็อบส์ เป็นมังสวิรัติมาเกือบทั้งชีวิต เขาชอบอดอาหารเป็นเวลานานๆ ตั้งแต่เด็กจากความเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้น แต่ละมื้ออาหารของเขาจะน้อย เขาเป็นคนจู้จี้จุกจิกเรื่องการกินมาก ถ้าอาหารไม่ถูกใจไม่ว่าด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เขาอาจแสดงความโหดร้ายเป็นพิเศษกับพนักงานเสิร์ฟ พ่อครัว หรือแม้แต่ผู้จัดการร้านอาหาร

สตีฟในวัย 17 ปีเข้าเรียนที่วิทยาลัยรีด รัฐโอเรกอน เขาได้ค้นพบหนังสือเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติชื่อ “Diet for a Small Planet” ซึ่งเขียนโดยฟรานซ์ มัวร์ ลาปเป้ มันเปลี่ยนจ็อบส์ไปตลอดชีวิต หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เขาสาบานกับตนเองทันทีว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

มันไม่ใช่แค่การกินมังสวิรัติ หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงนิสัยการรับประทานอาหารแบบสุดโต่ง รวมถึงการล้างท้อง และการอดอาหาร สตีฟตั้งมั่นที่จะทำตามทุกอย่าง ในแต่ละเดือนเขาจะกินอาหารเพียงแค่หนึ่งถึงสองอย่าง เช่น แอปเปิล หรือแครอท

อาหารของสตีฟที่ตกถึงท้องเขาในช่วงเวลาวัยรุ่นมีเพียงซีเรียลยี่ห้อโรมันมีล อินทผลัม อัลมอนด์ แอปเปิล และสิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุดคือแครอท สตีฟกินแครอทเป็นจำนวนมาก ทั้งใช้เครื่องคั้นน้ำผลไม้เพื่อทำน้ำแครอทดื่มเอง และกินแครอทเปล่าๆ

แอชตัน คุชเชอร์ ผู้แสดงเป็นสตีฟ จ็อบส์ในภาพยนตร์เรื่อง “JOBS” (2013) เคยทดลองใช้ชีวิตด้วยการกินแต่น้ำแครอทและแครอทเปล่าๆ เป็นเวลาหลายวันเพื่อศึกษาให้เข้าถึงบทบาทมากที่สุด และมันกลับทำให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลก่อนวันถ่ายทำเพียงไม่กี่สัปดาห์ แพทย์วินิจฉัยว่าตับอ่อนของแอชตันอักเสบเนื่องจากการบริโภคแครอทมากเกินไป รวมถึงร่างกายยังขาดสารอาหารมากมาย

สตีฟยังได้แรงบันดาลใจเพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือชื่อ “Mucusless Diet Healing System” เขียนโดย อาร์โนลด์ เออร์เร็ต ซึ่งอธิบายถึงการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด หนังสือเล่มนี้ทำให้สตีฟตัดสินใจเลิกกินขนมปัง ธัญพืช และนม อย่างถาวร บางครั้งเขายังทำการอดอาหารโดยที่ไม่กินอาหารเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน บางทีก็นานเกือบสัปดาห์ และหลังจากอดเสร็จสตีฟจะกินเพียงผักและน้ำ

(อาร์โนลด์ เออร์เร็ต ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เสียชีวิตในวัย 56 ปีเท่ากับตอนที่สตีฟเสียชีวิต จากการอดอาหารอย่างสุดโต่งจนเป็นลมหัวกระแทกพื้นจนเสียชีวิต)

คริสซาน เบรนแนน อดีตคู่รักของสตีฟตั้งแต่ปีค.ศ.1972-77 ก็ถูกให้เป็นมังสวิรัติเช่นกัน แต่ลิซ่า ลูกสาวนอกสมรสของพวกเขาไม่ได้เป็น การรับประทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเป็นไปด้วยความอึดอัด อาหารบนโต๊ะส่วนใหญ่เป็นเพียงผักคาตาลัน ควินัว คื่นช่าย ถั่วขนิดต่างๆ จนบางครั้งสองแม่ลูกต้องหนีไปกินไก่ที่แอบซื้อมาบนรถ

ลิซ่ากล่าวว่าพ่อของเขาเข้มงวดกับอาหารของตัวเองมาก วันหนึ่งเขาเคยพ่นซุปออกมาเต็มปากทันทีหลังจากที่รู้ว่ามีเนยเป็นส่วนผสม

สิ่งที่สตีฟกินอยู่ไม่ใช่ “Vegetarian” แต่เป็น “Fruitarian” มันคือการรับประทานผลไม้เป็นหลักอย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ของอาหารทั้งหมด นอกจากนั้น อาจเป็นการรับประทานแค่ผักสด ต้นอ่อน หรือถั่วต่างๆที่เพาะให้งอก

หนังสือของอาร์โนลด์ เออร์เร็ต ยังกล่าวถึงการกินอาหารแบบนี้ที่บริสุทธิ์มากพอที่จะทำให้ร่ายกายไม่ผลิตเมือกหรือสารพิษใดๆ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องอาบน้ำ สตีฟอาบน้ำนานๆ ครั้ง และบอกคนในบริษัทแอปเปิลว่าตัวเขาสะอาดจากการกิน แต่เห็นได้ชัดว่าคนรอบข้างไม่ได้คิดแบบนั้น

ในปีค.ศ.1991 สตีฟ จ็อบส์ แต่งงานกับ ลอรีน พาวเวลล์ ซึ่งเป็นมังสวิรัติเช่นกัน เค้กแต่งงานของพวกเขาเป็นวีแกน ไม่มีส่วนผสมของไข่หรือนม และแขกที่มาร่วมงานบางส่วนพบว่าพวกเขาไม่สามารถกินมันได้ลง

สตีฟในวัยราว 40 ปียังคงนิสัยการกินแบบเดียวกับสมัยเป็นวัยรุ่น เขาจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการกินสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นแอปเปิล หรือสลัดแครอทกับมะนาว แล้วหยุดกินอาหารนั้นโดยสิ้นเชิง รวมถึงการอดอาหารไปมาของเขา

ในปีค.ศ.2003 หลังจากที่สตีฟไปตรวจร่างกายตามปกติ แพทย์ก็พบว่าเขาเป็นมะเร็งตับอ่อนในรูปแบบที่หาได้ยาก แต่แพทย์ก็บอกกับสตีฟว่านี่ยังเป็นข่าวดีเพราะเป็นการตรวจพบแต่เนิ่นๆ แต่สตีฟกลับปฏิเสธที่จะรับการผ่าตัดซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์แนะนำ

สตีฟกลับพยายามรักษาตัวเองด้วยการเป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด เขากินน้ำผลไม้และแครอทมากขึ้นกว่าเดิม

แต่มันไม่ได้ทำให้มะเร็งหายไปเลย ร่างกายของเขาเริ่มทรุดตัวลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสตีฟเริ่มตระหนักได้ว่าการกินแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไร แต่มันเป็นการตระหนักที่สายเกินไป

ในปีค.ศ.2008 สตีฟตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอาตับอ่อนบางส่วนของเขาออกไป เขาเริ่มผสมปลาและโปรตีนอื่นๆ เข้ากับมื้ออาหาร แต่สุขภาพของสตีฟในตอนนั้นย่ำแย่ น้ำหนักของเขาลดไปมาก แต่อาหารส่วนใหญ่ของเขายังคงไม่วายที่จะเป็นผักล้วน เขาสั่งให้ไบรเออร์ บราวน์ เชฟส่วนตัวของเขาทำสลัดแครอท ซุปตะไคร้ หรือพาสต้าง่ายๆ กับใบโหระพา เป็นประจำ แม้แพทย์จะกล่าวว่าการกินโปรตีนจะช่วยให้ร่ายกายมีแรงต่อสู้กับมะเร็งก็ตาม

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2011 สตีฟช่วยวางแผนงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อเล็กๆ สำหรับประธานาธิบดีโอบามาที่จะมาเยือนซิลิคอนวัลเลย์ สตีฟคัดค้านส่วนผสมในอาหารมากมายที่ผู้จัดงานเสนอ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ กุ้ง ปลาค็อด และสลัดถั่วเลนทิล เขาให้ความเห็นว่าอาหารเหล่านี้ว่า “แฟนซีเกินไป” สตีฟยังคัดค้านพายครีมกับช็อกโกแลตทรัฟเฟิล แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวไม่ทำตามสตีฟ เนื่องจากเป็นเมนูสุดโปรดของประธานาธิบดีโอบามา

จนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2011 มะเร็งของเขาได้แพร่กระจายไปยังกระดูกและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย จนสตีฟไม่สามารถเดินหรือขยับตัวได้อย่างสะดวก จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.2011

เรื่องราวการกินของเขาถูกบันทึกอยู่ในหนังสือ “สตีฟ จ็อบส์ : Steve Jobs” หนังสือชีวประวัติอย่างเป็นทางการที่เขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของสตีฟ จ็อบส์ เอง โดยวอลเตอร์ ไอแซคสัน

 

 

 


theMENU