ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเคาะ 14 หุ้นน่าเก็บ

โดย พายุ
เผยแพร่ :
145 views

หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเคาะ 14 หุ้นน่าเก็บ ชู Selective Buy TNN Wealth

หุ้นน่าซื้อวันนี้ 26 พ.ค. 65 โบรกมองหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์อัพได้ Sentiment บวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่อัพไซด์จำกัดบริเวณแนวต้าน 1,640-1,650 จุด เหตุตลาดขาดปัจจัยหนุน ชู Selective Buy-มีปัจจัยบวกเฉพาะ

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในเชิงบวกหลังการรายงาน Fed Minutes คลายความกังวลด้านนโยบายการเงินที่ตึงตัวของ Fed อิงแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ในการประชุม FOMC อย่างน้อยอีก 2 ครั้งถัดไปรวมถึงการไม่ปรับเพดานการลดงบดุลที่ 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. 2565 เป็นผลให้ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.6 จุด คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 0.53% จากวันก่อนหน้าโดยหุ้นกลุ่มที่นำตลาดคือกลุ่มไฟแนนซ์ บริการสื่อและสิ่งพิมพ์ และท่องเที่ยว 

 

สำหรับการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์สำคัญโดยรวมยังเป็นภาพคล้ายวันก่อนหน้าที่กระแสเงินทุนไหลเวียนออกจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่ตลาดทุน อาทิ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 2 ปี และ 10 ปี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.48% และ 2.75% ตามลำดับ ขณะที่ราคาทองคำลดลงเล็กเป็น 1,849 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ US Dollar ICE Index ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.7

ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนำโดย1.ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวขึ้น 3.8% สู่ระดับ  115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล 2. ราคาก๊าซธรรมชาติ NYMEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 8.9 ดอลลาร์สหรัฐ/MMBtu 

 

3. ราคาถ่านหิน Newcastle Coal Spot ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น  366 ดอลลาร์สหรัฐ/MT จากปัจจัยเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า รายงานปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่ต่ำกว่าคาด และคลังน้ำมันเบนซินสหรัฐฯ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เราคาดตลาดหุ้นทั่วโลกยังตอบรับเชิงบวกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต่ำกว่าคาดและการปรับตัวของผู้ประกอบการที่เริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดราคาซื้อขายจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความกังวลด้านเงินเฟ้อจะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นจะกลับมามีความน่าสนใจในระยะสั้น

 

ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index จะยังเป็นลักษณะ Sideway up ในกรอบ 1,630-1,650 จุด และจะเป็นภาพการเคลื่อนไหวรายอุตสาหกรรม โดยกลุ่มหุ้นที่คาดมีแนวโน้ม Outperform ตลาดในระยะสั้นคือกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ธนาคาร ท่องเที่ยว ไฟแนนซ์ รวมถึงแนวโน้มการรีบาวน์ของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และหุ้น Growth ขนาดกลาง-เล็ก 

 

ขณะที่ปัจจัยที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้าคือ 1.ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จากการเริ่มมาตรการลดงบดุล (QT) 2. ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีน วันที่ 31 พ.ค. และ 3. ดัชนีเงินเฟ้อยูโรโซน หรือCPI วันที่ 31 พ.ค.

 

 

หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัวนำโดย CFRESH  แนวโน้มกำไร 2Q65 คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากต้นทุนกุ้งขาวที่ลดลง -17% QoQ เหลือ 145 บาท/กิโลกรัม และเป็นไตรมาสแรกที่จะรับรู้ประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของเงินบาทเทียบกับ USD ดังนั้น เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ 

เบื้องต้นเราคาดกำไรปี 2565 ที่ 322 ลบ. เทียบเท่า EPS ที่ 0.35 บาท ราคาปิดล่าสุดเทียบเท่า PER2565 ที่ 10.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาหารที่ 14-16 เท่า 

 

หุ้นเด่น ถัดมาคือ      KBANK  เราประเมินว่า SET INDEX เข้าสู่การฟื้นตัวหลังรายงานการประชุมเฟดเดือน พ.ค. ไม่มีปัจจัยลบใหม่ ส่งผลให้ Dollar Index และ Bond Yield ทรงตัว ส่งผลให้เกิด Risk on ในช่วงสั้นและผลักดันตลาดให้ฟื้นตัว เราคาดว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงค์เนื่องจากเชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยตรง 

 

คาดกำไร 2Q65 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากสินเชื่อที่เร่งตัวขึ้น และการตั้งสำรองที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น ราคาหุ้นยังไม่แพงที่ระดับ PBV เพียง 0.7 เท่า

 

หุ้นเด่น อีกตัวคือ    BBL  เราประเมินว่า SET INDEX เข้าสู่การฟื้นตัวหลังรายงานการประชุมเฟดเดือน พ.ค. ไม่มีปัจจัยลบใหม่ ส่งผลให้ Dollar Index และ Bond Yield ทรงตัว ส่งผลให้เกิด Risk on ในช่วงสั้นและผลักดันตลาดให้ฟื้นตัว เราคาดว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงค์เนื่องจากเชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยตรง 

 

คาดกำไร 2Q65 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากสินเชื่อที่เร่งตัวขึ้น และการตั้งสำรองที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น ราคาหุ้นยังไม่แพงที่ระดับ PBV เพียง 0.5 เท่า

 

หุ้นเด่นสุดท้าย   TSTH   ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 1.36 บาท แนวรับ 1.32 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 1.28  บาทหุ้นกลุ่มเหล็กมี Sentiment บวก ได้แก่ จีนประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าสถานการณ์ COVID ในจีนมีแนวโน้มดีขึ้นใน 1-2 เดือนข้างหน้า

 

บล.เอเซียพลัส มองว่า    ผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกบางตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่พลิกกลับมา ดีกว่าคาดทำให้เกิดแรงเหวี่ยงให้หุ้นกลุ่มค้าปลีก และตลาดรวมปรับสูงขึ้นโดย DJIA ปรับขึ้น 1.61% ซึ่งน่าจะเป็น Sentiment บวกสำหรับตลาดหุ้นบ้านเรา ในเช้านี้ 

 

อย่างไรก็ตามยังไม่ควรประมาท เนื่องจากในเดือน มิ.ย.65 ยังมี อุปสรรคที่ต้องผ่านไปอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่สูง การปรับขึ้น ดอกเบี้ย และ การลดขนาดงบดุลของ Fed 

 

ส่วนในบ้านเรายังไม่เห็นปัจจัยลบ เข้ามาแทรก โดยตลาดยังปกคลุมด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อน ด้วยการผ่อนคลายมาตรการให้ภาคธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินการได้ปกติ แต่ อย่างไรก็ตามก็ยังต้องสู้กับเงินเฟ้อที่สูงอันเป็นอุปสรรคการฟื้นตัว SET IndexยังมีMomentum เหวี่ยงขึ้น กรอบการเคลื่อนไหว 1,625 –1,640 จุด พอร์ตจำลอง วันนี้ให้ลดเงินสดลง 10% เข้าซื้อ MAJOR ทำให้ เงินสด สำรองเหลือ 10% Top Pick เลือก BEM, MAJOR และ TFG 

 

 หุ้นเด่นตัวแรกคือ   BEM  ราคาเป้าหมาย 10.30  บาท   หุ้นอนาคตสดใส BEMคาดเดือน พ.ค. ปริมาณรถวิ่งบนทางด่วนจะกลับมาแตะ1 ล้านเที่ยว/วัน (ม.ค.-เม.ย. ไม่เคยถึง 1. ล้านเที่ยว/วันอยุ่ที่ 9 แสน- 9 แสนปลายๆ) จำนวน Ridership กลับมาระดับ 2.8 แสนเที่ยว/วัน จาก 1.5-2.0 แสนเที่ยว/วันค่าตัดจำหน่ายทางด่วนเส้น AB และ C ทีหมดไปตั้งแต่ปี2563 ทำให้ต้นทุนของ BEM ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การที่ปริมาณรถวิ่งบนทางด่วนและ Ridership กลับมาจะส่งผลให้กำไรเติบโตอย่างเห็นได้ชัดประเมินมูลค่าเหมาะสมอิงวิธี SOTP ได้ Fair Value ปี2565 อยู่ที่ 10.30 บาท แนะนำซื้อ

 

หุ้นอีกตัวคือ TFG  ราคาเป้าหมาย  6 บาท  มาเลเซียระงับส่งออกไก่บวกต่อ TFGมาเลเซียจะระงับส่งออกไก่ตั้งแต่มิ.ย.65 คิดเป็นราว 9พันตัน/เดือน แม้จะไม่มาก แต่ก็ถือเป็นโอกาสของไทยที่ได้ผลบวกจากการที่ลูกค้าบางส่วนหันมาซื้อไก่จากไทยมากขึ้นแทน เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น ถือเป็นผลบวกต่ออุตสาหกรรมไก่ไทย ที่จะมีตลาดส่งออกไก่เพิ่มขึ้นอย่างGFPT TFG และ CPF

 

คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวถึง 240% yoy จากฐานกำไรที่ต่ำมากในปีก่อน และธุรกิจสุกรและไก่ฟื้นตัวชัดเจนทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิงวด 2065 จะเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQและ YOY จากแนวโน้มราคาไก่และสุกรปรับเพิ่มขึ้นกำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 6 บาท ราคาหุ้นปรับฐานลึกนับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนมี PER 14 เท่า แนะนำซื้อ

 

หุ้นตัวถัดมาคือ MAJOR ราคาเป้าหมาย 25 บาท 2Q65 พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ภาพยนตร์เรื่อง Dr.Strange กระแสตอบรับดีมากสะท้อนผ่าน Boxoffice ในประเทศสหรัฐฯทำรายได้เป็นอันดับที่ 2 อยู่ที่ 352 ล้านเหรียญฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2565Jurassic World, Light Year ที่น่าจะสร้างรายได้ค่อนข้างสูง และ

 

ภาพยนตร์เรื่อง Top Gun กระแสตอบค่อนข้างดีจากเทรนด์ออนไลน์ใน Twitter หลังออกฉายได้เพียง 2 วัน ขณะที่หนังไทยมีเรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 จาก

ค่าย GDH ตั้งเป้ารายได้กว่า 300-400 ล้านบาท รายได้ธุรกิจป๊อปคอร์นมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมวางจำหน่ายใน 7-11 ในเดือน มิ.ย. 2565 นี้

ขณะที่กำไร 2Q65 จะเติบโตโดเด่น QoQ และ YoYประเมินมูลค่าเหมาะสม อิงวิธี DCF ได้ Fair Value ปี2565 เท่ากับ 25 บาท

 

 

 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส   บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า   วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ในกรอบแนวรับ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,643 จุดเน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเด่น 

 

โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ CRC คาดกำไร 2Q65 จะปรับตัวขึ้นทั้ง Q๐Q และ YoY แรงหนุนจากยอดขาย (%SSSG) ที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น จากสถานการณ์ต่างๆที่ดีขึ้น ทั้งในไทย, อิตาลี และเวียดนาม ผสานกับอัตราการทำกำไรที่คาดปรับตัวขึ้นเช่นกัน จากทั้งส่วนลดค่าเช่าที่ลดลง และการปรับราคาสะท้อนต้นทุนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 43 บาท

 

 

หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ     PTTEP  ราคาน้ำมันดิบโลกวานนี้ปรับตัวขึ้น 3% ทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน ขานรับการเข้าสู่ช่วง Driving season และค่าเงินดอลล่าร์ที่มีแนวโน้มปรับตัวลง คาดจะช่วยหนุนผลประกอบการของกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นยังมีแนวโน้มเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 167 บาท 

 

 

 

บล.ไทยพาณิชย์    แม้ SET จะได้ Sentiment บวก จากตลาดหุ้นสหรัฐอย่างไรก็ตาม ยังมองดัชนีมี upside จำกัด บริเวณแนวต้าน 1,640-1,650 จุด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยหนุน ขณะที่ปัจจัยลบยังคงอยู่ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และติดตามวิกฤตอาหารโลก ซึ่งหลายประเทศระงับการส่งออก เพื่อควบคุมราคาที่พุ่งสูงขึ้นภายในประเทศ จะเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ด้านแนวรับอยู่ที่ 1622 และ 1610 จุด ตามลำดับ

 

หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ  CRC (ราคาเป้าหมาย 45.00 บ.)  ได้ประโยชน์จากการที่รัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง โดย 2Q65 คาดผลประกอบการฟื้นตัว YoY กลับมามีกำไร จากยอดขายและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น รวมทั้งมีมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น ส่วนทั้งปี 65 คาดมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นแตะ 5.0 พันลบ. จากปีก่อนที่ทำได้เพียง 59 ลบ. 

 

หุ้นเด่นอีกตัวคือ      AWC (ราคาเป้าหมาย 5.60 บ.)  มองได้อานิสงส์บวกจากการยกเลิกข้อจำกัดเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งคาดหนุนให้ 2Q65 ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น YoY โดยจะมีผลขาดทุนลดลง และจะกลับมาเติบโตแข็งแกร่งขึ้นใน 2H65 ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ 16.6%

 

ขณะที่ บล.กสิกรไทย   มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ   1,620-1,643 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ MTC    ราคาปัจจุบัน 47.25  บาท   ราคาเป้าหมาย 52 บาท JMART ราคาปัจจุบัน  59.25  บาท ราคาเป้าหมาย 65 บาท และ JWD  ราคาปัจจุบัน   16.10      บาท ราคาเป้าหมาย  17.70    บาท

 

 

ที่มา : บล.หยวนต้า,  บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย

 

ภาพประกอบข่าว : AFP,  TNN Online,พิกซาเบย์

 


พายุ