ห้องเม่าปีกเหล็ก

กลุ่มแบงค์ .. ถูกแค่ไหนก็ไม่ควรซื้อ

โดย slark
เผยแพร่ :
61 views

เพจ Wattana Stock Page

-------------------------------

ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงมาแรงมาก โดยเฉพาะเมื่อวานนี้หลังจากที่ KBANK ได้ออกมาให้เป้าหมายธุรกิจในปีหน้า ซึ่งโดยรวมดูแย่กว่าปีนี้

 

ทำไมการให้เป้าหมายของ KBANK จึงเป็นเรื่องใหญ่โตได้ขนาดนี้ ?

 

ถ้าใครอยู่ในตลาดมานาน จะรู้ว่า ตัวเลขหลายๆตัวของธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น เป้าการเติบโตของสินเชื่อ หรือ NPL เหล่านี้นับเป็นภาพที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจในเวลานั้นได้ด้วย

 

เพราะธนาคารถือเป็นตัวกลางในการนำเงินของหน่วยหนึ่งในเศรษฐกิจไปให้อีกหน่วยหนึ่งในเศรษฐกิจกู้ยืม ไม่ว่าจะในรูปแบบของสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ สินเชื่อ SME สินเชื่อลูกค้ารายย่อย เช่น กู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น

 

ตัวเลขเหล่านี้ที่ธนาคารประเมินว่าจะขยายตัว หรือ หดตัว ไม่ได้มาจากตัวธนาคารเอง แต่มาจากกิจกรรมของหน่วยต่างๆในระบบเศรษฐกิจ

 

มันจึงไม่แปลกที่การให้ข้อมูลเป้าหมายธุรกิจของ KBANK เมื่อวานนี้ จึงสะเทือนต่อตลาดหุ้นโดยรวม นั่นเพราะมันกำลังสื่อว่า เศรษฐกิจของไทยในปีหน้าอาจจะไม่ค่อยดีนัก

 

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารล้วนปรับตัวลงมาแรงมาก จนหลายคนเริ่มออกมาเชียร์ให้ซื้อหุ้นธนาคาร โดยให้เหตุผลว่า ราคาหุ้นต่ำกว่า Book Value หรือมูลค่าทางบัญชีแล้ว

 

หมายความว่าอะไร หมายความว่าถ้่าบริษัทเลิกกิจการ แล้วเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดไปจ่ายคืนหนี้สิน (ตามงบดุล) แล้วเอาส่วนที่เหลือมาหารจำนวนหุ้นทั้งหมด มันมีมูลค่า "สูงกว่า" ราคาหุ้นในกระดานเสียอีก

 

ด้วยเหตุผลนี้ล่ะ จึงควรซื้อหุ้นธนาคาร!!!!

 

แต่กลับกัน ถ้าไปถามคนคนเดียวกันถึงหุ้นโรงไฟฟ้า คนๆนั้น ก็อาจจะบอกว่า หุ้นโรงไฟฟ้าก็ยังซื้อได้ เพราะมี growth ถึงแม้ PE จะสูง หรือว่าถ้าคิด DCF แล้วปีนี้ยังไม่ถึง แต่เดี๋ยวมันก็ถึงในวันข้างหน้านั่นล่ะ

 

อืม ฟังดูแล้วก็ย้อนแย้งดีนะ ที่ให้ซื้อตัวหนึ่งโดยอ้างว่าถูกเมื่อดูจากตัวเลขทางบัญชี แล้วก็ให้ซื้ออีกตัวหนึ่งโดยไม่ต้องสนตัวเลขอัตราส่วนทางการเงิน

 

สิ่งที่ P/BV สร้างภาพลวงตาให้กับนักลงทุนบ่อยครั้งเลยก็คือ นักลงทุนลืมคิดไปว่า Book Value per share นั้นเป็นการคำนวณมูลค่าต่อหุ้นในกรณีที่บริษัทนั้น ปิดกิจการหรือเลิกกิจการ

 

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีธนาคารไหนที่จะปิดกิจการหรือเลิกกิจการเลยในเวลานี้ จึงไม่มีใครที่ถือหุ้นธนาคารในเวลานี้ จะมีโอกาสได้เชยชมมูลค่าในส่วนที่เรียกว่า book value นั้นเลย

 

ค่า book value จึงเป็นเพียงค่า "สมมติ" ที่วางอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ถ้าบริษัทเลิกกิจการ และมีการชำระบัญชี (liquidation) เท่านั้น

การพิจารณาเพียงแค่การนำราคาหุ้นในกระดานไปเทียบกับค่า book value แล้วตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นทันที จึงไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีนัก นั่นเพราะมีหุ้นมากมายที่ซื้อขายกันต่ำกว่า book value และก็ไม่เห็นว่าราคามันจะวิ่งกลับไปที่ book value ของมันซักที

 

นั่นเพราะแม้ตลาดจะประเมินมูลค่าพื้นฐานจากวิธีเชิงปริมาณ (quantitative) เป็นหลัก แต่นักลงทุนในตลาดก็มีการให้ premium และ discount กับหุ้นแตกต่างกันในแต่ละเวลาและสถานการณ์ด้วย ซึ่งอันหลังนี้เป็นส่วนที่มีการใช้การประเมินเชิงคุณภาพ (qualitative)

 

นอกจากนั้น หลายครั้งที่ตลาดเลือกที่จะใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ้นกลุ่มไหน ตัวไหนด้วย

 

แต่ไม่ได้บอกว่า การที่ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับลงมาจนต่ำ book value แล้วมันไม่น่าสนใจนะ

 

มันน่าสนใจ แต่เราควรต้องวิเคราะห์ปัจจัยอื่นควบคู่ไปด้วยว่า มันมีสาเหตุใดที่ทำให้ราคาหุ้นมันถึงได้ซื้อขายกันต่ำกว่า book value หรือไม่

 

ซึ่งแน่นอนว่า หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงกดดันโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจทำให้รายได้จากดอกเบี้ยลดลงจากสินเชื่อที่โตไม่ได้ตามเป้า จากความกังวล NPL ที่จะเพิ่มขึ้น และต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น

 

และนอกเหนือจากนั้นคือ ค่าธรรมเนียมที่หดตัวลงจากการแข่งขัน และความกังวลเรื่อง disruption อีกทั้งเงินลงทุนทางด้าน IT ที่สูงขึ้นมาก เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

 

เหตุผลที่ว่ามาทั้งหมด ก็น่าจะมีน้ำหนักพอที่ตลาดเลือกที่จะให้ discount กับราคาหุ้นกลุ่มธนาคารมิใช่หรือ ?

 

โดยในวันนี้ ตลาดเลือกที่จะไปให้พรีเมี่ยมกับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่จะมี growth จากการที่มีโรงไฟฟ้าเริ่ม COD กันในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า อีกทั้งยังเป็นหุ้นปลอดภัย (defensive stock) เพราะมีรายได้ที่ไม่แกว่งตัวมากนักจากการขายไฟฟ้า

 

การออกมาให้ข้อมูลเป้าหมายธุรกิจของ KBANK ยิ่งออกมาตอกย้ำว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังไม่น่าจะฟื้น (จากตัวเลขสินเชื่อที่ขยายตัวลดลง) NPL ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น (ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจทีชะลอตัว)

 

ถามใจตัวเองให้ดีว่า ทำไมเราต้องซื้อหุ้นธนาคาร ทั้งๆที่รู้ว่าปีหน้าธุรกิจจะยังไม่ได้ดีนัก มันก็ไม่ต่างกับที่เราไม่คิดจะซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเพราะมองว่าปีหน้าจะยังไม่ฟื้นตัว

 

มันไม่ต่างกันเลย!!!!

 

PTTGC ก็เป็นหุ้นต่ำ book value แต่เรากลับพร้อมใจกันมองว่า ยังไม่ควรซื้อ เพราะยังไม่เห็นสัญญาณการพลิกฟื้น

 

แล้วทำไมเราถึงต้องซื้อหุ้น ธนาคาร ที่มันต่ำ book value ล่ะ?

 

เวลานี้ ของถูกเต็มตลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อได้ในทันที

เช่นเดียวกัน ของแพงก็มีมากหลายตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขายในวันนี้ ตราบใดที่ตลาดมันยังเลือกที่จะเล่น

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ timing หรือ "จังหวะในการเข้าซื้อ" ซึ่งขึ้นอยู่กับความใครจะประเมินอย่างไร

 

ขออย่างเดียว ให้รอซื้อตัวที่มันถูก ไม่ใช่ไปไล่ซื้อตัวที่มันแพง

ซื้อให้ได้ต้นทุนที่ถูก ไม่ใช่ไปรับของต้นทุนถูกของคนอื่น

 

ในเมื่อมีปัญญาไล่ ก็ให้มันหาจังหวะขายกันเอง ใจแข็งเข้าไว้ จำไว้ว่า เวลาที่เขาจะขาย เขาจะพยายามทำทุกทางให้เรารู้สึกว่าของนั้นยังถูก

เช่นเดียวกัน เวลาเขาจะซื้อ เขาจะพยายามทำให้ของถูกนั้นดูแพงในสายตาของเรา


slark