ห้องเม่าปีกเหล็ก

3สัญญาณปลุกลงทุน"ตลาดหุ้นไทย" ขาใหญ่เชียร์"แบงก์-สื่อสาร"ดีดกลับ

โดย knowledge_trader
เผยแพร่ :
88 views

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ขาใหญ่" ส่งสัญญาณปี"60 ตลาดหุ้นไทย "รีเทิร์นหด" แนะกำเงินสดรอเก็บ "Super Stock" ช่วงตลาดร่วง เสี่ยป๋องเน้นลงทุนหุ้นใหญ่ 3 กลุ่มหลัก "พลังงาน-แบงก์-สื่อสาร" ปีระกามีโอกาสดีดกลับ เตือนระวังเงินไหลออกจาก "หุ้นเล็ก" ฟากที่ปรึกษาลงทุนชี้กระแส "ฟินเทค-อีคอมเมิร์ซ" มาแรง บจ.เล็ก-ใหญ่

 

โดดลงทุนสร้างแวลูฯหุ้น

เปิด 3 กลุ่มหุ้นมาแรงปีระกา

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในปี 2560 คาดว่าจะมี 3 ธีมหลัก ๆ ที่จะส่งผลต่อภาวะการลงทุน อันดับแรกคือ ทิศทางราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาขึ้น 2.เงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าปี 2560 ตัวดีมานด์พูลหรือเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการหรือภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน เพราะสินค้าอาจขายได้มากขึ้น และสุดท้ายคือการลงทุนภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีงานประมูลออกมามากกว่า 9 แสนล้านบาทและมีเม็ดเงินไหลเข้าระบบไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท

โดย 3 กลุ่มหุ้นหลักที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ 1.กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น เพราะเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาด (แลกการ์ด) และได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ถัดมา 2.คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ราคาหุ้นยังแลกการ์ดเหมือนกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรมในปี 2009 ซึ่งไม่สัมพันธ์กับปัจจุบันที่ไม่ได้เกิดวิกฤตขนาดนั้น ประกอบกับคาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อจะกลับมาเติบโตมากขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกที่น่าจะฟื้นตัว รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และ 3.คือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะได้รับอานิสงส์เต็ม ๆ จากโครงการลงทุนของภาครัฐที่จะเริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น

ขาใหญ่ชี้หุ้นปี 2560 รีเทิร์นหด

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor : VI) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในปี 2559 ตนสามารถสร้างอัตราผลตอบแทน (รีเทิร์น) ให้พอร์ตลงทุนได้เกินกว่า 20% แต่สำหรับปี 2560 มองว่าแนวโน้มการสร้างรีเทิร์นจะทำได้ยากขึ้น เพราะขณะนี้ไม่ค่อยมีหุ้นดาวเด่นที่น่าสนใจ หรือที่เรียกว่า Super Stock ให้เห็นง่ายนัก เนื่องจากหุ้นดังกล่าวต้องมีหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ความเข้มแข็งของธุรกิจ ซึ่งประเมินได้จากการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม 2.คือการเติบโตของธุรกิจราว 15% ขึ้นไป และ 3.ราคาที่เหมาะสม อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นไม่สูงเกินไป และอัตราเงินปันผลตั้งแต่ 3-5%

"ตอนนี้ Super Stock แทบไม่เห็น อาจมีบางบริษัทที่คุณสมบัติพอใช้ได้ เช่น เป็นผู้นำอุตสาหกรรม และมีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่ดี แต่ก็ไม่ผ่านคุณสมบัติเรื่องราคา ดังนั้น หุ้นที่นักลงทุนแย่งซื้อกันตอนนี้ก็เป็นเพียง Super Company ที่ราคาค่อนข้างแพง ผมจึงยังถือเงินสดไว้ยังไม่ได้ลงทุนเพิ่มมากนัก" นายนิเวศน์กล่าวและว่า

ปัจจุบันพอร์ตลงทุนอยู่ในหุ้นไทยราว 50% ต่างประเทศ คือ เวียดนาม ไม่ถึง 10% ที่เหลืออีกกว่า 40% เป็นเงินสด ซึ่งที่ผ่านมาได้ถือครองเงินสดมาแล้วกว่า 2 ปี เพื่อรอหาจังหวะซื้อหุ้นไทยเพิ่ม แต่เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงยังไม่ตัดสินใจลงทุน

"นาทีนี้จะหาหุ้นลงทุนในตลาดก็แทบไม่มีเลย ดังนั้น ง่ายที่สุดคือรอตลาดปรับตัวลดลง หรืออาจลองกระจายไปลงทุนตลาดอื่นที่มีหุ้นมูลค่าพื้นฐานในระดับที่น่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม แต่การลงทุนในตลาดต่างประเทศก็มีข้อจำกัด เพราะต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงหลายเรื่อง ทั้งข้อจำกัดหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่อง ทำให้ซื้อและขายค่อนข้างยาก หุ้นขนาดใหญ่ก็มีข้อจำกัดเรื่องเพดานการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหุ้นดีก็จะมีให้ลงทุนไม่มากแล้ว และที่สำคัญคือ เราเองก็อาจยังไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นมากพอ" นายนิเวศน์กล่าว

ลุ้น "แบงก์-สื่อสาร" ดีดกลับ

ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคกล่าวว่า ในปี 2559 ตนสร้างรีเทิร์นจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ประมาณ 12% น้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นกว่า 20% เนื่องจากตนเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งแกว่งตัวขึ้นค่อนข้างช้ากว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2560 หุ้นขนาดใหญ่น่าจะฟื้นตัวได้หลังจากที่ชะลอตัวมาระยะหนึ่งแล้ว จึงน่าจะเริ่มเห็นโอกาสการปรับตัวขึ้น

"ปีหน้าผมยังเน้นธีมหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น กลุ่มพลังงาน ที่น่าจะฟื้นตัวดีตามราคาน้ำมัน และจับตาหุ้นใหญ่กลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มธนาคาร และสื่อสารเพราะที่ผ่านมา 2 กลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นไม่ค่อยดีนัก และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ร่วงลงไปมากกว่านี้แล้ว" นายวัชระกล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังในปี 2560 คือการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นขนาดเล็กที่มีแรงซื้อขายอย่างมากในปี 2559 เพราะหลายบริษัทราคาสูงอย่างมากแล้ว ดังนั้น หากธุรกิจขนาดใหญ่ฟื้นตัวจริงตามที่คาด เม็ดเงินลงทุนที่เคยเก็งกำไรอยู่ก็อาจจะต้องไหลออกมา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสำหรับผู้ที่เข้าไปลงทุนได้

ฟินเทคเมกะเทรนด์แห่งอนาคต

ขณะที่นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท INFINITI Global Investors ผู้ประกอบธุรกิจด้านจัดการลงทุนและหาโอกาสให้นักลงทุน (บลน.) เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เทรนด์ธุรกิจที่โดดเด่นในปี 2560 จะเน้นอิงไปกับธุรกิจฟินเทคหมายถึงธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีจัดการด้านการเงิน ถือเป็นเมกะเทรนด์ของการทำธุรกิจในอนาคต เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคมีการทำธุรกรรมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากที่เรื่องฟินเทคกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงต่ออุตสาหกรรมการเงินทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทยก็มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่เริ่มทำธุรกิจฟินเทคอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์และค้าปลีก ซึ่งเริ่มมีการรวมกันของดิจิทัลแบงกิ้งและอีคอมเมิร์ซกันมากขึ้น อาทิ ร้านค้าที่เริ่มทำกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet)

"ปัจจุบันคนกำลังเข้าสู่สังคมที่ใช้เงินสดน้อยลง ทำให้ในอนาคตการทำธุรกรรมทางการเงินจะเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ขณะที่การเริ่มปรับตัวของแบงก์ขนาดใหญ่ ๆ ทั้งการตั้งบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมทุนที่เกี่ยวข้องกับฟินเทคในปัจจุบัน จะช่วยผลักดันให้กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้นำของธุรกิจในอนาคตได้ รวมถึงเริ่มมีบริษัทขนาดเล็กที่มีการขยายธุรกิจด้านฟินเทคด้วย เช่น บมจ.เจ มาร์ท หรือ บมจ.เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นต้น" นายเจษฎา กล่าว

บจ.เกาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่โตดี

นายเจษฎากล่าวต่อว่า อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจที่ตอบรับต่อไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ อาทิ การรักท่องเที่ยว การดูแลตัวเอง การตอบสนองต่อความเป็นอิสระ จะทำให้มีหลายธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์ เช่น เทรนด์สุขภาพ ธุรกิจประเภทกีฬา, อาหารเสริม, ครีมบำรุงร่างกาย และธุรกิจการท่องเที่ยว เป็นต้น

โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN), บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) และ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW)

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจัดตั้งบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจด้านซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟินเทค รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินในยุคดิจิทัล เพื่อรองรับธุรกิจค้าปลีกและเพื่อขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยการหาโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มบริษัทในอนาคต


knowledge_trader