Land Bridge: เดิมพันครั้งใหญ่ของไทย
จะเปลี่ยนเส้นทางการค้าโลกได้จริงหรือ?
เมื่อโลกการค้ากำลังเผชิญ “จุดคอขวด” ที่ช่องแคบมะละกา
ไทยกำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่ผ่าน “Land Bridge”
มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพื่อเชื่อม ชุมพร–ระนอง เข้าด้วยกัน
และปักธงให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่ง
ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับอินเดีย ที่ไม่ต้องพึ่งสิงคโปร์อีกต่อไป

เส้นทางใหม่ที่ท้าทายช่องแคบมะละกา
โครงการนี้ตั้งเป้าเป็น “เส้นเลือดการค้าโลกสายใหม่”
ด้วยระบบท่าเรือน้ำลึกสองฝั่ง
ได้แก่ แหลมริ่ว (ชุมพร) และ แหลมอ่าวอ่าง (ระนอง)
เชื่อมด้วยมอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่ และท่อส่งพลังงานตัดผ่านคาบสมุทรไทย
ช่วยย่นเวลาเดินเรือได้ถึง 4 วัน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ราว 15% ต่อเที่ยว
หากทำสำเร็จ จะสามารถรองรับสินค้าได้ถึง 40 ล้าน TEU/ปี
เทียบชั้นท่าเรือสิงคโปร์ที่ปัจจุบันถือครองสถานะ “ประตูการค้าเอเชีย”
จุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโลกการค้า
ราว 30% ของสินค้าทางเรือทั่วโลกผ่านช่องแคบมะละกา
ซึ่งกำลังถึงขีดจำกัด ไทยจึงมีโอกาสใช้ภูมิศาสตร์สร้างมูลค่าใหม่
ระนอง: ประตูฝั่งตะวันตก
ทำเลทองในการเชื่อมกับประเทศในเอเชียใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอินเดีย ที่ปัจจุบันไทยส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ชุมพร: ประตูฝั่งตะวันออก
เชื่อมอ่าวไทย เอเชียตะวันออก และแปซิฟิก
หากสายเดินเรือระดับโลกหันมาใช้ Land Bridge จริง
ไทยอาจกลายเป็นจุดหมุนใหม่ของการค้าระหว่างภูมิภาค
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดึงดูดและย้อนแย้ง
แค่โอกาสทางภูมิศาสตร์เพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ
เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังตั้งคำถามว่า
ความคุ้มค่าของโครงการนี้ “มีจริงหรือไม่”
สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
คาดว่าโครงการนี้จะช่วยหนุน GDP โตเพิ่มราว 1.5% ต่อปี
และสร้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่ง
แต่ผลการศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับมองต่าง
โดยให้ค่า NPV ติดลบกว่า 1.2 แสนล้านบาท
และอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเพียง 1.24%
ในขณะที่ สนข. ประเมินบวกกว่า 17%
ความต่างระดับนี้สะท้อนให้เห็นว่า
“Land Bridge” ยังเป็นสมการที่คำตอบไม่ชัดเจน
ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
• เงินลงทุนมหาศาล เสี่ยงเพิ่มหนี้สาธารณะ แม้จะใช้รูปแบบ PPP
• ความซับซ้อนทางวิศวกรรม ตั้งแต่การขุดอุโมงค์จนถึงท่าเรือน้ำลึก
• ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน ที่ต้องประเมินอย่างรอบด้าน
• การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสิงคโปร์ (Tuas Mega Port) มาเลเซีย (Carey Island และ Port Klang) และเวียดนาม (ท่าเรือกายเม็ป–ลากฮวเยิน) ที่เร่งขยายท่าเรือเชิงยุทธศาสตร์ของตน
และเหนืออื่นใดคือ “สมดุลของการค้า”
หากปริมาณสินค้าขาเข้า–ขาออกไม่สมดุล หรือไม่สามารถลดต้นทุนได้จริง
โครงการนี้อาจไม่ดึงดูดสายเดินเรือระดับโลกอย่างที่คาดหวัง
เดิมพันครั้งสำคัญบนเส้นทางที่ยังไม่มีแผนที่
Land Bridge ไม่ใช่เพียงโครงการคมนาคม
แต่คือ “สะพานแห่งความหวัง” ที่ไทยตั้งใจจะทอดข้ามคาบสมุทร
เพื่อเชื่อมฝั่งทะเลกับฝั่งฝันของการเป็นศูนย์กลางการค้าโลก
แต่เส้นทางใหม่นี้ยังเต็มไปด้วยหมอกแห่งความไม่แน่นอน
ทั้งต้นทุนที่สูง ผลตอบแทนที่ยังคลุมเครือ และเสียงสะท้อนจากชุมชนที่ยังไม่ถูกฟังครบ
คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “ไทยสร้างได้หรือไม่”
แต่คือ “ไทยพร้อมหรือยัง ที่จะรักษาเส้นทางนี้ให้ยั่งยืน คุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนจริง ๆ”
เพราะนี่คือการวางหมากใหญ่ของไทยบนกระดานภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจโลก
มันอาจกลายเป็น “เกมเปลี่ยนหน้า” ของการค้าเอเชีย
หรืออาจเป็น “บทเรียนราคาแพง” ของการลงทุนระดับชาติ
การก้าวพลาดเพียงไม่กี่ก้าว อาจทำให้ความฝันนี้
กลายเป็นภาระที่ประเทศต้องแบกไว้ไปอีกหลายทศวรรษ
เรื่องและภาพ: สราลี วงษ์เงิน Economist, Bnomics
════════════════
ที่มาเนื้อหาจาก.. Bnomics by Bangkok Bank