ดอกเบี้ยเฟดยังไม่ลงง่าย ๆ
เพราะเงินเฟ้อยังไม่จบ และเกมการเมืองเพิ่งเริ่ม
ในขณะที่หลายฝ่ายเริ่มฝันถึงวันที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะเริ่มลดดอกเบี้ยลงในปี 2025 เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ นักกลยุทธ์ในวอลล์สตรีทจำนวนไม่น้อยกลับมองต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่า "ความหวังของตลาด" กับ "ความจริงที่เฟดเห็น" อาจเป็นสองเรื่องที่เดินคนละทาง

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะลดลงจากช่วงพีคในปี 2022–2023 แต่ยังไม่ลดลงมากพอที่จะทำให้เฟดรู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะ Core PCE หรือเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับ 2.5% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับเป้าหมายที่เฟดต้องการที่ 2% และหากมองไปข้างหน้า ความเสี่ยงยังไม่หมด เพราะนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรที่กำลังจะกลับมา อาจกลายเป็นเชื้อเพลิงซ้ำเติมเงินเฟ้อให้ร้อนระอุขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ เฟดจึงเลือกใช้ท่าทีแบบ “รอดู” มากกว่า “รีบร้อน” เพราะสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด ไม่ใช่แค่เงินเฟ้อสูง แต่คือ "ลดดอกเบี้ยเร็วไป แล้วต้องกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกในภายหลัง" ซึ่งนั่นจะสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งตลาดการเงินและความเชื่อมั่นของประชาชนในนโยบายการเงิน
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฟดยังไม่คิดจะลดดอกเบี้ยในเร็ววัน คือ "ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก" อัตราว่างงานยังอยู่แถว ๆ 4.2% ซึ่งถือว่าต่ำมากในเชิงประวัติศาสตร์ และตัวเลขการจ้างงานก็ยังเติบโตต่อเนื่อง แม้จะไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงหลังโควิด แต่ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยแต่อย่างใด
พูดง่าย ๆ คือ ในมุมของเฟด ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่เพียงพอจะทำให้ต้องรีบลดดอกเบี้ย ทั้งเงินเฟ้อก็ยังเหนียว แรงงานก็ยังไม่ย่อท้อ และสิ่งที่ต้องจับตาเพิ่มขึ้นคือ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ และเกิดการปรับนโยบายภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณขนาดใหญ่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรที่ทำให้เฟดต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางนโยบาย
จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักในวอลล์สตรีท ดอกเบี้ยของเฟดน่าจะอยู่ในกรอบ 3.75%–4.5% จนถึงสิ้นปี 2025 โดยอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2–3 ครั้งตลอดทั้งปี และนั่นเป็นการลดแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ไม่ใช่แบบเร่งด่วนเหมือนในอดีต เงินเฟ้ออาจลดลงสู่ระดับ 2.4%–2.8% ส่วน GDP มีแนวโน้มเติบโตในกรอบ 1.5%–2.1% ซึ่งแม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ยังไม่ใช่สัญญาณวิกฤต ขณะที่อัตราว่างงานอาจขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
นักกลยุทธ์วอลล์สตรีทจึงส่งสัญญาณเตือนว่า ตลาดอาจ "คาดหวังมากเกินไป" และหากความจริงปรากฏว่าเฟดไม่ลดดอกเบี้ยเร็วหรือแรงเท่าที่ตลาดหวังไว้ อาจเกิดแรงสะเทือนต่อตลาดหุ้น พันธบัตร และค่าเงินในวงกว้าง อีกทั้งในช่วงหลังมีเสียงจากบางฝ่ายในวอชิงตันที่เรียกร้องให้เฟดเร่งลดดอกเบี้ย แต่เฟดเองก็ยืนยันหลักการเดิมว่า จะดำเนินนโยบายจาก “ข้อมูล” ไม่ใช่จาก “แรงกดดัน”
สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย นี่คือสัญญาณว่าโลกอาจอยู่ในภาวะดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจยังชะลอตัว ดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่ลด ต้นทุนธุรกิจยังสูง และการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนการเงินที่ไม่ลดลงง่าย ๆ
ในสภาวะแบบนี้ การวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ กระจายความเสี่ยง และมีเงินสดสำรอง คือสิ่งที่สำคัญกว่าการคาดหวังว่าจะมี “ปาฏิหาริย์ทางนโยบาย”
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เฟดมองคือ “ความมั่นคงของระบบ”
ไม่ใช่ “ความหวังของนักลงทุน”
ขอบคุณเนื้อหาจาก.. KIM Property Live