รู้จักกับ “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์”ว่าที่น้องใหม่ตลาด mai

บมจ.เลเท็กซ์ซิสเทมส์ (LS) หนึ่งในผู้นำการผลิตที่นอนและหมอนจากยางพาราธรรมชาติ 100% เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาด mai ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว
แม้ “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์” จะเป็นน้องใหม่ในวงการตลาดหุ้น แต่หากดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายคนน่าจะรู้จัก บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (TRUBB) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ในสัดส่วน 56%
นอกจากนี้ ที่นอนยางพาราหลายแบรนด์ดังที่วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า จริงๆ แล้วมี LS เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลิต
“ปทุมพร ตรีวิศวเวทย์” กรรมการผู้จัดการ LS จะมาเล่าถึงเรื่องราวของบริษัท แผนการใช้เงิน และโครงการในอนาคต เพื่อให้นักลงทุนได้รู้จักกับบริษัทน้องใหม่แห่งนี้มากขึ้น
*หนึ่งในผู้นำที่นอนยางพาราธรรมชาติ 100%
บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ เป็นหนึ่งในผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องนอนยางพาราที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% เปิดดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2546 หรือประมาณ 15 ปีมาแล้ว และมีโรงงานผลิต 2 แห่งคือที่บางนา กม.36 และที่ จ.ระยอง
ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (TRUBB) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ธุรกิจของบริษัทแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แบบไม่ติดตราสินค้า ( ธุรกิจ Non-Brand ) และ 2. ธุรกิจผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ( ธุรกิจ Brand )
*รายได้ส่วนใหญ่จะมาจาก ธุรกิจ Non-Brand
“ปทุมพร” เล่าว่ายอดขายเกือบ 70% เป็นในประเทศและอีก 30% เป็นต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในสัดส่วนของยอดขายในประเทศนั้นก็จะมีฐานเดียวกัน คือ ส่งออกต่างประเทศ มีปลายทางที่ประเทศจีน และเกาหลี
หากแบ่งตามประเภทสินค้าในด้านปริมาณจะเป็น “หมอน” เพราะขายง่ายส่วนที่นอนเป็นชิ้นใหญ่ขายยากกว่า แต่หากวัดที่มูลค่า “ที่นอน” จะทำยอดขายได้มากกว่าและเป็นรายได้หลักของบริษัท
โครงสร้างรายได้กว่า 90% มาจาก ธุรกิจ Non-Brand หรือรับจ้างผลิตให้แบรนด์อื่น แต่ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น Brand ของตัวเองมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้แบรนด์ LS เป็นที่รู้จักในตลาด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องเตรียมแผนขยายการลงทุนสร้างโชว์รูมเพื่อนำเสนอสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ Latex Systems,Sleepertist,TNF และ Nap & Night
“จุดยืนของเราก็ยังเป็นผู้ผลิตอยู่ เพียงแต่ว่าส่วนหนึ่งเราจะแบ่งมาทำ Brand เพราะเราต้องการมีตัวตนในตลาด ความภูมิใจของเราคือ เราต้องการมีสินค้าที่จะขายในตลาด ให้ผู้บริโภคได้ใช้สิ่งที่เราตั้งใจทำ”
เขาเล่าว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 15-20% ส่วนกำไรปี 59 อยู่ที่ 62 ล้านบาท ส่วนปี 60-61 มีกำไรใกล้เคียงกันราว 114 ล้านบาท
สาเหตุที่ปี 61 กำไรทรงตัวจากปี 60 เนื่องจากเผชิญกับสถานการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ซึ่งกระทบตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มฐานลูกค้าของ LS ที่มักจะซื้อของฝาก เช่น หมอนยางพารา ให้ลดน้อยลง
“ธุรกิจเราค่อนข้างเกี่ยวเนื่องกับคนจีนและก็ตลาดทัวร์พอสมควร คู่ค้าของเราจะขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อมีเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ตามด้วยสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนมันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทำให้ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีที่แล้วดรอปลง”
*เตรียมเสนอขาย IPO จำนวน 132 ล้านหุ้น
บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 132 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ TRUBB ตามสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% และที่เหลือประมาณ 80% แต่ไม่เกิน 90% เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป
วัตถุประสงค์ของการระดมทุน คือ 1.ชำระหนี้สถาบันการเงิน หลังจากกู้มาลงทุนซื้อโรงงานที่ จ.ระยองปลายปีก่อน 2.ลงทุนก่อสร้างโชว์รูม และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
สำหรับโชว์รูมได้ตั้ง Target ไว้ที่แหล่งท่องเที่ยว ตามภาคต่างๆ ของไทยน่าจะเป็นภาคใต้ ตะวันออก หรือภาคกลาง เช่น ภูเก็ต พัทยา ซึ่งทั้ง 3 แห่งนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 50 ล้านบาท
“เราจะทำแบรนด์ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและความมีตัวตนของ เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ในตลาด เราจึงต้องลงทุนสร้างโชว์รูม...ส่วนโรงงานที่ จ.ระยอง ซื้อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 61 ไว้รองรับตลาดหมอนที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น”
*ตลาดที่นอนยางพารา มีโอกาสโตได้อีกมาก
เมื่อถามถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจเครื่องนอนยางพารา เขามองว่า ยังมีอีกมากเนื่องจาก ปัจจุบันมีผู้บริโภคที่ใช้ที่นอนยางพารายังไม่ถึง 10% ดังนั้นอีก 90% จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาด และมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้สินค้าของบริษัท เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งจะดีต่อธุรกิจของบริษัท ดีต่อผู้ถือหุ้น และที่สำคัญดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา
“ความตั้งใจของเรา คืออยากจะทำเป็น Product of Thailand ถ้าพูดถึงเมืองไทยใครๆ ก็ต้องรู้จักเครื่องนอนยางพารา เพราะว่าเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของประเทศไทย”
*คู่แข่งที่ไซส์เท่ากัน มีไม่มาก-ไม่เล่นสงครามราคา
ส่วนการแข่งขันในธุรกิจ แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดค่อนข้างมาก แต่จะเป็นรายกลางและรายเล็กเสียส่วนใหญ่ ขณะที่รายใหญ่ที่มีขนาดธุรกิจใกล้เคียงบริษัท ยังมีไม่มากนัก
“รายเล็กๆ ที่อยากจะเข้ามา เพราะว่าความต้องการหมอนมีอยู่สูง เหมือนกับว่ามันเป็นแฟชั่นด้วย เพราะนักท่องเที่ยวจีนมาในไทยต้องซื้อ ดังนั้น เขาก็อยากจะเข้ามาลงทุนเก็บเกี่ยวตรงนี้ ในช่วงที่กำลังฮิต แต่ก็เป็นรายเล็กๆ ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรกับธุรกิจเรา”
สำหรับธุรกิจขนาดใกล้เคียงกับบริษัท ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นนั้นยังไม่มี จึงนับได้ว่า LS จะเป็นบริษัทแรกที่ของผู้ผลิตเครื่องนอนยางพาราที่จะเข้าจดทะเบียนและหากมองด้านการแข่งขัน บริษัทไม่เล่นสงครามราคาเพราะสินค้าเรามีคุณภาพดีอยู่แล้ว ราคาต้องเหมาะสมกับคุณภาพ
*ปัจจัยเสี่ยงหลักคือความผันผวนของน้ำยางพารา
เขากล่าวว่า ราคาวัตถุดิบซึ่งก็คือน้ำยางพาราซึ่งใช้ในการขึ้นรูปสินค้า เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่จะมีผลกระทบต่อการขึ้นลงของกำไรมากที่สุด เพราะราคายางมีความผันผวน หากราคายางปรับขึ้นกำไรบริษัทจะลดลงแต่ไม่ขาดทุนเพราะมีการป้องกันความเสี่ยงไว้อยู่แล้ว แต่ถ้ากลับกันราคายางปรับลงบริษัทจะได้กำไรมากขึ้น
“แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง เรากันความเสี่ยงตรงนั้นไว้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสินค้าที่เราขายไป ก็จะไม่ขาดทุน อาจจะขาดทุนกำไร แต่ว่าไม่ได้ติดลบ นอกจากนี้ เรามีการวางแผนในการซื้อน้ำยางและซื้อจากหลาย supplier ให้เขามาแข่งขันราคากัน ก็ประมาณ 3-4 รายในไทย โดยไม่ได้พึ่งพิงแค่รายใดรายหนึ่ง และ TRUBB ก็เป็นหนึ่งใน supplier เรา ”
*ตั้งเป้าผู้นำระดับโลก-โตอย่างมั่นคง
เมื่อถามถึงเป้าหมายทางธุรกิจ ภายหลังจากการระดมทุนในตลาดหุ้นแล้ว เขากล่าวว่า มุ่งหวังการเป็นผู้นำในด้านของเครื่องนอนยางพาราในระดับโลก นำเสนอสินค้าที่เป็น “Product of Thailand” ที่มีจุดเด่นในเรื่องการใช้วัตถุดิบน้ำยางพารามาผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเกี่ยวกับสุขภาพให้กับผู้บริโภค
“อนาคตยังมีตลาดอีกมากที่จะให้เราเข้าไป และสิ่งต่างๆ ที่เราวางแผนเอาไว้ ก็จะนำพาให้บริษัทเราเจริญเติบโตอย่างก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องรักษาผลกำไรเอาไว้ แล้วให้มีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง”