บทเรียนเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ต้นกำเนิดการคลังสมัยใหม่
วิกฤติโลกเขย่าสยาม เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต้นกำเนิดการคลังสมัยใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมถึงบทบาทในการรับมือวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้ง

เมื่อย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1930 โลกกำลังเผชิญกับ "เศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่" หรือ Great Depression วิกฤติที่เริ่มจากสหรัฐอเมริกาแพร่กระจายไปทั่วโลก ประเทศไทยในยุคนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก สถานะ การคลัง ในรัชกาลที่ 7 ประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ นำไปสู่การลดการจ้างงานภาครัฐ สถานการณ์เลวร้ายถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติเศรษฐกิจโลก
ขณะที่หลายประเทศพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ แต่ไม่สามารถก้าวข้ามวิกฤติได้ สำหรับประเทศไทย วิกฤติเศรษฐกิจ กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้ร่วมกันปฏิวัติ โดยมีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
ปฏิรูปภาษี สร้างความเป็นธรรมทางสังคม
แถลงการณ์คณะราษฎรได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเศรษฐกิจ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่นำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
คณะกรรมการราษฎรผลักดันการแก้ไขโครงสร้างภาษีอากรเพื่อความเป็นธรรมกับสังคม เนื่องจากเดิมภาระภาษีตกอยู่กับเกษตรกรฝ่ายเดียว และเมื่อ เศรษฐกิจตกต่ำ ราษฎรยิ่งประสบความยากลำบากในการเสียภาษี
ปี พ.ศ. 2475 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษีใหม่หลายฉบับ ซึ่งกลายเป็นรากฐานของกฎหมายประมวลรัษฎากรในปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อนายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (พ.ศ. 2481-2484) ได้แถลงนโยบายว่า "จะจัดการปรับปรุงภาษีอากรให้ยุติธรรมแก่สังคม" และได้ปรับปรุงระบบภาษีอากรครั้งใหญ่ โดยการออกพระราชบัญญัติประมวลรัษฎากร ประกาศใช้วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482 พร้อมทั้งยกเลิกกฎหมายภาษีอากรที่ล้าสมัย
สงครามโลกครั้งที่ 2 จุดกำเนิด "ธนาคารแห่งประเทศไทย"
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 เหตุการณ์จากสงครามเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินไทย กระทรวงการคลัง เริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติ ซึ่งนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485
ธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มประกอบธุรกิจเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2485 โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการคนแรก (พ.ศ. 2485-2489) พระองค์ทรงวางระเบียบแบบแผนที่เป็นรากฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากสถานการณ์สงครามและการที่ไทยต้องเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อการเงินของประเทศอย่างรุนแรง การค้าขายกับต่างประเทศหยุดชะงัก ทุนสำรองเงินตราในประเทศอังกฤษและสหรัฐถูกอายัด
พระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงเพื่อควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุม
ฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม สู่เส้นทางทุนนิยม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประเทศไทยเผชิญความท้าทายในการฟื้นฟูความเสียหายจากสงคราม กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการเจรจากับพันธมิตรเพื่อลดเงินค่าปฏิกรรมสงคราม และฟื้นฟูระบบการเงินการคลัง
กระทรวงการคลังได้ดำเนินการสำคัญหลายประการ ทั้งการปฏิรูประบบภาษีใหม่เพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาล การเพิ่มความเป็นอิสระให้ธนาคารแห่งประเทศไทย การลงนามข้อตกลงเบรตตันวูดส์ เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่กับดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการเจรจาขอเงินกู้และความช่วยเหลือจากธนาคารโลกและประเทศพันธมิตร
ช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 เป็นยุคเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในไทย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในปี พ.ศ. 2490 นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
สิ่งสำคัญคือ การที่กระทรวงการคลังเริ่มปรับบทบาทจากเพียงหน่วยงานจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณ มาเป็นผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ มีการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหลายแห่งเพื่อดำเนินกิจการด้านสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมสำคัญ
ก้าวสู่การคลังยุคใหม่ วางรากฐานเศรษฐกิจไทย
ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2501 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปฏิรูประบบบริหารนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการคลัง มีการตราพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินตรา
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการจัดตั้งสำนักงบประมาณในปี พ.ศ. 2502 ทำให้การจัดทำงบประมาณที่เคยเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังมาตลอด กลายเป็นหน้าที่ของสำนักงบประมาณที่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ เห็นความจำเป็นในการนำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้บริหารและกำหนดนโยบายการคลัง นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยมี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก
ในช่วงท้ายของยุคนี้ กระทรวงการคลังเริ่มวางรากฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของไทย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกที่จะเริ่มในปี พ.ศ. 2504 มีการปรับปรุงระบบภาษี สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ และริเริ่มโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
หลังจากนั้น กระทรวงการคลังเข้าสู่ยุคการคลังสมัยใหม่ที่มีบทบาททั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงบทบาทในการรับมือวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งทั้งวิกฤติน้ำมัน วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติโควิด-19 รวมถึงผลกระทบเศรษฐกิจจากสงครามการค้าที่กำลังก่อตัว
นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการเจรจากับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อขอรับการสนับสนุนทางเทคนิคและการเงินสำหรับการพัฒนาประเทศ
การดำเนินงานของ กระทรวงการคลัง ระหว่างปี พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2500 จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการปรับเปลี่ยนและวางรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทย จากระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มรูปแบบจนถึงปัจจุบัน
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/corporate-moves/business/economic/1178605