Intel ในสมรภูมิชิป: เมื่อ CEO ถูกทรัมป์จี้ให้ลาออก ปมสายสัมพันธ์กับจีน
เรื่องใหญ่สะเทือนวงการเทคโนโลยีโลกวันนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาโพสต์ผ่าน Truth Social เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan CEO ของ Intel ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ "ลาออกทันที"

คำประกาศิตนี้ไม่ได้มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่มันคือยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมมานาน
นั่นคือประเด็นเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อนและความมั่นคงแห่งชาติ" ที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพของบริษัทเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง
แต่เป็นดราม่าสุดเข้มข้นที่เกี่ยวพันกับเงินทุนมหาศาล, สงครามเทคโนโลยี และอนาคตของซิลิคอนแวลลีย์
เส้นทางเงินทุนที่น่าสงสัย?
หัวใจของปัญหาอยู่ที่ตัวของ CEO Lip-Bu Tan เองครับ เขาไม่ได้เป็นแค่นักบริหาร แต่ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ผ่านบริษัท Venture Capital ของเขาที่ชื่อ Walden International
ซึ่งถูกพบว่ามีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีของจีนหลายร้อยแห่ง! ประเด็นมันแรงขึ้นไปอีกเมื่อมีการเปิดเผยว่า
บางบริษัทในพอร์ตการลงทุนนั้น มีความเชื่อมโยงกับ "กองทัพปลดแอกประชาชนจีน" (PLA) นี่คือจุดตายที่ทำให้เรื่องบานปลาย
ลองนึกภาพตามนะครับ... Intel คือบริษัทที่รับเงินอุดหนุนก้อนโตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย CHIPS Act เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมชิปในประเทศ
และลดการพึ่งพาจีน แต่ CEO ของบริษัทกลับมีสายสัมพันธ์ทางการเงินลึกซึ้งกับบริษัทจีนเสียเอง
มันจึงเกิดคำถามตัวใหญ่ๆ ว่า Intel กำลังเล่นเกมอะไรกันแน่? แล้วเงินภาษีของคนอเมริกันกำลังถูกใช้ไปในทางที่ย้อนแย้งต่อความมั่นคงของตัวเองหรือไม่?
ตลาดหุ้นตอบสนองทันที
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป หุ้นของ Intel ดิ่งลงทันทีราว 4-5% ในช่วงข้ามคืน นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่านักลงทุน "ไม่ตลกด้วย" ความเชื่อมั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดในโลกธุรกิจ
การที่ผู้นำองค์กรถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่อ่อนไหวอย่างความมั่นคงของชาติ ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมรุนแรง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ราคาหุ้นที่ตกลง แต่ยังรวมถึงเสถียรภาพขององค์กร และความเชื่อมั่นของคู่ค้าและรัฐบาล สถานการณ์ของ Intel ตอนนี้จึงเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายที่ตึงเครียด ต้องประคองทั้งธุรกิจให้เดินหน้า และต้องตอบคำถามที่สังคมกำลังจับตามองอย่างไม่กระพริบ
ฉากใหญ่ในสงครามเทคโนโลยี
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ฉายภาพ "สงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีน" ได้อย่างชัดเจน
การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจไม่ได้สู้กันแค่เรื่องการค้าหรือการทหาร แต่สมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดคือ "เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์" เพราะชิปคือสมองของทุกอย่าง
ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงขีปนาวุธ การที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีเรือธงอย่าง Intel มีความสัมพันธ์ทางการเงินที่แยกไม่ขาดกับจีน จึงเป็นความเสี่ยงที่ฝั่งความมั่นคงของสหรัฐฯ ยอมรับไม่ได้ และทำให้การวางยุทธศาสตร์เพื่อเอาชนะในสงครามนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
ก้าวต่อไปของ Intel คือความท้าทาย
จนถึงขณะนี้ Intel ยังไม่ได้มีแถลงการณ์ที่เป็นรูปธรรมมากไปกว่าการยืนยันว่าบริษัทและ CEO ยึดมั่นในความมั่นคงของสหรัฐฯ แต่แรงกดดันจากทั้งการเมืองและตลาดกำลังพุ่งเข้าใส่บริษัทอย่างจัง
นักวิเคราะห์มองว่านี่คือบททดสอบครั้งสำคัญของคณะกรรมการบริหาร Intel ว่าจะจัดการกับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งนี้อย่างไร จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา หรือจะเลือกยืนหยัดสู้ต่อไปโดยหวังว่าพายุจะสงบลงเอง
บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของ Intel และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสมดุลอำนาจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าเกมนี้จะจบลงอย่างไร?
เนื้อหาที่มาจาก.. KIM Property Live