KrungthaiCOMPASS หั่นจีดีพีปี 63 เหลือ 2.1% ไวรัสโคโรน่าฉุดรายได้ท่องเที่ยว
KrungthaiCOMPASS ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 63 จาก 2.8% เหลือ 2.1% จากเหตุไวรัสโคโรน่าฉุดรายได้ท่องเที่ยว โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือน ก.พ. หดตัวทั้งจีนและชาติอื่น นอกจากนี้ภาคส่งออกยังได้รับผลกระทบอีกด้วย
ศูนย์วิจัย KrungthaiCOMPASS เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ 7:0 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.00% เนื่องจากเศรษฐกิจปีนี้ที่มีแนวโน้มต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก จาก 3 ปัจจัย หลักๆ ดังนี้
1.การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งเกิดขึ้น ในช่วงวันหยุดยาวที่นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย ตลอดจนการแพร่รระบาดอย่างรวดเร็วไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของไทยช่วง ไฮซีซั่นมีแนวโน้มหดตัว นอกจากนี้ ยังกระทบการส่งออกของไทยในสินค้าในห่วงโซ่อปุทานสำคัญ
2.วิกฤตภัยแล้งที่มาเร็วกว่าคาด สัญญาณภัยแล้งที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ El nino กำลังอ่อนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะลากยาวไปถึงกลางปี 2563 ซึ่งจะกระทบผลผลิตข้าวเปลือก ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้น
3.ความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณ แม้จะยืดเวลามาแล้วถึง 3 เดือน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ยังคงล่าช้าและมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้รายจ่ายภาครัฐขยายตัวต่ำกว่าคาด
ไวรัสโคโรนา กระทบท่องเที่ยว-ส่งออกไทย
การระบาดของไวรัสโคโรนาฉุดตัวเลขจีนเที่ยวไทยชะลอลง แม้ทางการจีนจะรับมือกับไวรัสโคโรนาอย่างรวดเร็ว ภายหลังจากที่ประกาศปิดการเข้าออกประเทศไปเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่การระบาดของโรคเป็นช่วงคาบเกี่ยว เทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยวไทยมากที่สุดถึง 1 ล้านคนต่อเดือน ประกอบกับการท่องเที่ยวไทยในระยะหลัง พึ่งพาดีมานด์จากจีนเกือบ 28% เมื่อเทียบกับวิกฤต โรคซารส์ ที่ 6.5% ของสัดส่วนนักท่องเที่ยวทั้งหมด
นอกจากนี้ภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น ๆ เริ่มปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเดือน ก.พ. จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ ตั้งแต่วันที่ 1-4 ก.พ.ลดลงถึง -20.4% ขณะที่การเดินทางขาเข้าของชาวต่างชาติทั้งหมด ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ วันที่ 4 ก.พ. หดตัวถึง -36.6% (จีน -79.8% และอื่น ๆ -23.4%)
ด้าน การส่งออกไทยไตรมาสแรกมีแนวโน้มชะลอตัวมากจากผลของชัตดาวน์อู่ฮั่นและเศรษฐกิจจีนชะลอตัวโดยทางการจีน ได้ประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น รวมไปถึงงดให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะทั้งทางบกทางน้ำ และทางอากาศ ส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศจากเมืองอู่ฮั่นหยุดชะงัก ขณะเดียวกันกับที่ทางการจีนได้เข้าควบคุมท่าเรือ และ อนุญาตเพียงสินค้าเฉพาะหรือ สินค้าจำเป็นเท่านั้น
สินค้าเกษตร เช่น ผักและผลไม้ ซึ่งไทยส่งออกไปจีน ราว 2 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่บริษัทและโกดังเก็บ สินค้าที่ท่าเรือบางส่วนต่างหยุดให้บริการ ส่งผลให้ สินค้าเกษตรค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหากสถานการณ์ยืดเยื้อไปจนถึงปลายเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตผลไม้สำคัญออกสู่ตลาดมาก
สินค้าในห่วงโซ่อุปทานสำคัญ เช่น ยางพารา เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าส่วนประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากบริษัททผู้ผลิตจากจีน ถึง15% คาดผลกระทบไวรัสโคโรนาลากยาว 3-6 เดือน และปัจจัย ในประเทศยังน่ากังวล และจีนเริ่ม กลับเข้าสู่วัฎจักรเศรษฐกิจชะลอตัวท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดการส่งออกไทยไปจีนเทียบวัฎจักรเศรษฐกิจของจีน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัย KrungthaiCOMPASS ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือ 2.1% (เดิม 2.8%) โดยคาดว่าจะกระทบนักท่องเที่ยวจีนเป็นระยะเวลานาน ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปีติดลบ 7.6% สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการท่องเที่ยว อาทิ ลดภาษี น้ำมันเครื่องบิน ลดหย่อนภาษี 2 เท่าสำหรับการจัดสัมมนา หรือ ท่องเที่ยวในต่างจังหวัด และหักรายจ่ายเงินได้ 1.5 เท่า ของรายจ่ายจริงเพื่อปรับปรุงกิจการที่พักอาจเสริม บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศได้บ้าง แต่ไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
ภาคการส่งออกน่าจะเติบโตชะลอลงกว่าที่คาด แม้ว่าจีน และ สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้นไปแล้วเมื่อเดือน ม.ค. แต่ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนากลับมีส่วนทำให้เศรษฐกิจจีน ชะลอลงท่ามกลางวัฎจักรเศรษฐกิจที่เข้า สู่ช่วงขาลง สอดคล้องกับ Bloomberg Economics ได้ประเมินว่าผลจากการแพร่ระบาดจะกระทบเศรษฐกิจจีน ไตรมาสแรกให้ขยายตัวได้เพียง 4.5% ซึ่งหมายรวมถึงปริมาณการค้าโลกในปีนี้อาจไม่สดใสนัก
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น ภาวะภัยแล้งที่กระทบผลผลิตข้าว และ งบประมาณประจำปีที่ล่าช้ากว่าที่คาด โดยรวมจึงทำให้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 ปรับลดลงเหลือ 2.1%
การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับวิกฤตโรคซารส์ในปี 2546 ซึ่งใช้เวลาราว 2 เดือนหลังประกาศจาก WHO ซึ่งสะท้อนว่าในครั้งนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ท่ามกลางปัจจัยรุมเร้าภายในประเทศที่กดดันให้ GDP มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่า ทีคาดไว้มาก
ทั้งนี้ กนง.ได้ปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% สู้ศึกไวรัสโคโรนา และประเมินว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.00% ในไตรมาสแรกของปี การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เป็นหนึ่งในมาตรการที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ นอกเหนือจากมาตรการทางการคลัง และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ธปท. เผชิญกับข้อจำกัดเชิงนโยบายมากขึ้น และยังต้องติดตามดูว่าสถาบันการเงินจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากตามหรือไม่
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก