ห้องเม่าปีกเหล็ก

สัญญาณเตือนของโลกที่ไม่อาจมองข้าม

โดย INVESTING
เผยแพร่ :
164 views

สัญญาณเตือนของโลกที่ไม่อาจมองข้าม

โลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เผชิญแค่วิกฤตเศรษฐกิจหรือความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังเผชิญ “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปี 2024 คือปีที่เราต้องยอมรับว่า “สัญญาณเตือน” ของโลกไม่ใช่เพียงข่าวไกลตัว แต่คือความจริงที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจ และอนาคตของมนุษย์ทุกคน

 

โลกกำลังเดือด

ตัวเลขที่น่าตกใจที่สุดคือ อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2024 สูงขึ้นถึง 1.55°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และนี่คือครั้งแรกในรอบ 175 ปีที่เรา “ทะลุเพดาน” 1.5°C เส้นที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเตือนว่าเป็น “ขอบเหวของวิกฤต” เพราะหากเกินกว่านี้ โลกจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ไม่ใช่แค่อากาศร้อนขึ้น แต่คือระบบนิเวศที่ปั่นป่วน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงที่สุดในรอบ 800,000 ปี ทำให้มหาสมุทรดูดซับความร้อนมากกว่าสองเท่าของช่วงก่อนหน้า ธารน้ำแข็งตั้งแต่สฟาลบาร์ในอาร์กติกไปจนถึงเทือกเขาแอนดีสในเขตร้อนละลายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องกำลังคุกคามเมืองชายฝั่งทั่วโลก

 

หายนะทางเศรษฐกิจ: เมื่อธรรมชาติเอาคืน

สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ “ต้นทุนเศรษฐกิจ” ที่ต้องจ่ายจากภัยพิบัติ ในทศวรรษ 1970 ความสูญเสียทั่วโลกอยู่ราว 1.84 แสนล้านดอลลาร์ แต่ในทศวรรษ 2010 ตัวเลขนี้พุ่งเป็นเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า ในเวลาไม่ถึง 50 ปี

เฉพาะปี 2024 โลกต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติกว่า 336 ครั้ง ความเสียหายรวมกว่า 3.28 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีถึง 29% นี่ไม่ใช่เพียงสถิติในรายงาน แต่คือบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม โรงงานที่ต้องหยุดผลิต ฟาร์มที่ขาดแคลนน้ำ และธุรกิจท่องเที่ยวที่สูญเสียรายได้มหาศาล

 

ความเสียหายกระจายทั่วโลก

รายงาน Sigma No.1/2025 ของ Swiss Re ชี้ให้เห็นว่าภาระเศรษฐกิจจากภัยพิบัติถูกแบกรับไม่เท่ากัน

• อเมริกาเหนือ สูญเสียกว่า 2.12 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 65% ของความเสียหายโลก แม้มีระบบประกันครอบคลุมถึงครึ่งหนึ่ง

• เอเชีย สูญเสีย 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่มีการคุ้มครองเพียง 16.7% ของมูลค่าความเสียหาย สะท้อนความเปราะบางของภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

• ยุโรป สูญเสีย 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ครอบคลุมโดยระบบประกันเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า

ส่วนอเมริกาใต้ แอฟริกา และโอเชียเนีย แม้ตัวเลขรวมเล็กกว่า แต่ก็เป็น “รอยร้าว” ที่บ่งชี้ว่าไม่มีภูมิภาคใดบนโลกที่รอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ภัยพิบัติหลักที่สร้างความสูญเสีย

สถิติปี 2024 ชี้ว่า พายุหมุนเขตร้อนสร้างความเสียหายสูงสุดถึง 1.61 แสนล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยน้ำท่วม 1.09 แสนล้านดอลลาร์ และพายุฝนฟ้าคะนอง 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนภัยแล้งและแผ่นดินไหวก็ยังคร่าชีวิตและทรัพย์สินรวมกันกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า ภัยพิบัติที่เคย “เกิดปีละครั้ง” กำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่”

 

ช่องว่างความคุ้มครอง: ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่

แม้ธุรกิจประกันภัยทั่วโลกจะช่วยบรรเทาผลกระทบ แต่ในปี 2024 มูลค่าความเสียหายที่ได้รับการคุ้มครองมีเพียง 1.37 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 43% ของทั้งหมด ที่เหลืออีก 57% หรือกว่า 1.8 แสนล้านดอลลาร์ คือ “ช่องว่าง” ที่ไม่มีใครรับผิดชอบ

นั่นหมายความว่า ครัวเรือนเล็กๆ ธุรกิจท้องถิ่น และเกษตรกรจำนวนมหาศาลกำลังเผชิญความเสี่ยงโดยไม่มีตาข่ายรองรับ และหากวิกฤตรุนแรงกว่านี้ ระบบการเงินการธนาคารก็อาจสั่นสะเทือน

 

ถึงเวลาลงมือจริง

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ แนวโน้มชี้ว่าในปี 2025 ความสูญเสียจะยิ่งสูงขึ้น โลกกำลังเดินเข้าสู่ “ภาวะโลกร้อนถาวร” ที่ทุกปีอาจกลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดใหม่ ประกันภัยเป็นเพียงการบรรเทาหลังเหตุการณ์ แต่ไม่ใช่คำตอบของปัญหา

สิ่งที่จำเป็นคือการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวที่ทำให้ชุมชนและธุรกิจมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

 

มุมมองจากไทย

ประเทศไทยเองเผชิญทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม และเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ไม่คาดคิด เฉพาะภัยแล้งปีที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตเกษตรหายไปมหาศาล เกษตรกรจำนวนมากต้องหนี้ท่วมหัว แม้สถาบันการเงินบางแห่ง เช่น ธนาคารกรุงเทพ จะยื่นมือช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ แต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือการปรับตัวเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ ระบบชลประทานที่ยั่งยืน และการวางแผนเมืองที่รับมือกับน้ำท่วมได้

 

โลกได้ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนแล้ว อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยพิบัติที่ถี่ขึ้น และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ทวีคูณ กำลังบอกเราว่า “เวลาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ”

คำถามคือ เราจะรอให้สัญญาณเตือนเหล่านี้กลายเป็นหายนะจริงๆ หรือจะลงมือร่วมกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อปกป้องโลกที่เราและคนรุ่นต่อไปต้องใช้ชีวิตอยู่?

เรื่องและภาพ: กรรวี วงษ์ศิริเลิศ Economist, Bnomics

════════════════

 

 

 

ที่มา.  Bnomics by Bangkok Bank


INVESTING