ห้องเม่าปีกเหล็ก

วินาทีชี้ชะตา

โดย หยินหยาง
เผยแพร่ :
33 views

วินาทีชี้ชะตา: ส่องตัวเลือกทางทหารของสหรัฐฯ ก่อนทรัมป์ตัดสินใจเรื่องอิหร่าน

ท่ามกลางความตึงเครียดล่าสุดในสภาความมั่นคงแห่งชาติในห้องสถานการณ์ (Situation Room) ของทำเนียบขาว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าสุดท้าย ทรัมป์ จะตัดสินใจอย่างไร จะเข้าร่วมสงครามหรือไม่ ไหนๆ วันนี้ตลาดก็หยุดพอดี แอดเลยจะมาบรีฟให้อ่านเล่นๆ ว่าสหรัฐฯ มี option ทางทหารอะไรอยู่ในมือตอนนี้บ้างค่ะ

 

"เดอะ น็อคเอาท์ โบลว์" (The Knockout Blow) - ระเบิด MOP อาวุธตัดสินเกม

เริ่มต้นกันที่พระเอกของงานนี้ ซึ่งเป็นอาวุธที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเป้าหมายที่แข็งแกร่งที่สุดของอิหร่าน ในภาพข่าวที่เราอาจเคยเห็นทหารอากาศยืนเทียบกับวัตถุทรงกระบอกขนาดมหึมา นั่นคือ GBU-57 หรือที่มีชื่อเต็มว่า Massive Ordnance Penetrator (MOP) หรือที่สื่อมักขนานนามว่า "ระเบิดทะลวงบังเกอร์" (Bunker Buster Bomb)

ระเบิดลูกนี้ผลิตโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่าง Boeing Co. และมีน้ำหนักตัวมากถึง 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 13,600 กิโลกรัม) ทำให้มันครองตำแหน่งอาวุธนำวิถีความแม่นยำสูงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภารกิจของมันนั้นชัดเจน คือการเป็น "หมัดน็อค" ที่จะยุติโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยเป้าหมายหลักคือโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม "ฟอร์โดว์" (Fordow)

ความท้าทายของฟอร์โดว์คือ มันไม่ใช่โรงงานธรรมดา แต่เป็นป้อมปราการใต้ดินที่ถูกซ่อนไว้ลึกเข้าไปใต้ภูเขา คาดการณ์ว่าอยู่ที่ความลึกราว 60 ถึง 90 เมตร ซึ่งเกินกว่าที่ระเบิดทั่วไปจะเข้าถึงได้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงเชื่อมั่นว่ามีเพียง MOP เท่านั้นที่จะสามารถทะลุทะลวงชั้นหินและคอนกรีตลงไปสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้ และจุดที่สำคัญที่สุดคือ สหรัฐอเมริกาเป็นชาติเดียวในโลกที่ครอบครองอาวุธชิ้นนี้

รีเบคกา แกรนท์ นักวิเคราะห์จากสถาบันเล็กซิงตัน ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจว่า ด้วยระบบนำวิถีด้วยดาวเทียม (GPS) ที่แม่นยำ ทำให้ MOP แต่ละลูกสามารถตั้งเป้าหมายได้อย่างอิสระ นั่นหมายความว่า "สามารถสั่งทิ้งระเบิด MOP ลูกหนึ่งลงไปซ้ำตรงจุดที่ลูกแรกกระแทกได้อย่างพอดี" เพื่อสร้างแรงกระแทกซ้อนกันและเพิ่มอำนาจการทะลวงให้ลึกลงไปอีก นอกจากนี้ เธอยังชี้ว่ากองทัพสามารถใช้ข้อมูลจากโดรนสอดแนมในพื้นที่เพื่อ "ปรับแก้เป้าหมายการโจมตี" ได้ในนาทีสุดท้าย เพิ่มความแม่นยำให้ถึงขีดสุด ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า สหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาและเฝ้าจับตาโครงสร้างนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างฟอร์โดว์มานานหลายปีแล้ว

 

Choice?

การตัดสินใจว่าจะใช้ MOP หรือไม่นั้น มีความหมายมากกว่าแค่การเลือกใช้อาวุธ มันเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางของความขัดแย้งทั้งหมด เพราะการใช้ MOP จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การนำส่งระเบิดนี้ต้องใช้เครื่องบินและนักบินอเมริกัน ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะของสหรัฐฯ จากผู้ช่วยป้องกันอิสราเอล ให้กลายเป็นผู้เล่นหลักที่เปิดฉาก "ปฏิบัติการรุกทางการทหาร" อย่างเต็มตัว

แดเนียล ชาปิโร อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอลและอดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม ได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า "หากอิสราเอลสามารถบรรลุผลลัพธ์นั้นได้ด้วยปฏิบัติการของตนเอง นั่นคือกรณีที่ดีที่สุด แต่หากมันจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ เพื่อโจมตีโรงงานฟอร์โดว์ นั่นก็ต้องเป็นทางเลือกที่อยู่บนโต๊ะเพื่อให้ประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณา" คำพูดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการตัดสินใจ ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลลัพธ์ทางทหารและการลุกลามของความขัดแย้งทางการเมือง

 

พาหนะล่องหนพิสัยไกล - เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 สเตลธ์

เมื่อมีอาวุธที่ทรงพลังแล้ว คำถามต่อมาคือ จะส่งมันไปโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนศัตรูได้อย่างไร คำตอบก็คือ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 สเตลธ์ อากาศยานที่ได้ชื่อว่าเป็น "ปีศาจแห่งฟากฟ้า" ด้วยคุณสมบัติการล่องหน (Stealth) ที่ทำให้เรดาร์ของศัตรูตรวจจับได้ยากอย่างยิ่ง

เครื่องบิน B-2 หนึ่งลำสามารถบรรทุกระเบิด MOP ที่หนักอึ้งได้ถึง 2 ลูก และมันมีความสามารถในการบินข้ามทวีปเป็นระยะทางหลายพันไมล์จากฐานทัพอากาศไวท์แมน ในรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา เพื่อปฏิบัติภารกิจและบินกลับฐานได้โดยตรง ซึ่งเป็นการสำแดงแสนยานุภาพที่น่าเกรงขาม

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของ B-2 มาแล้วในการใช้โจมตีคลังอาวุธใต้ดินของกลุ่มฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน และเมื่อช่วงต้นปี ก็มีรายงานการพบเห็นเครื่องบิน B-2 ถึง 6 ลำ บนเกาะดิเอโกการ์เซียในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงอิหร่านและกลุ่มฮูตีอย่างชัดเจน ก่อนที่กองทัพอากาศจะยืนยันว่าเครื่องบินฝูงนั้นได้เดินทางกลับฐานทัพในเดือนพฤษภาคม

 

กองกำลังสนับสนุนและเส้นเลือดใหญ่แห่งยุทธการ

ปฏิบัติการขนาดใหญ่นี้ไม่ได้อาศัยแค่เครื่องบินทิ้งระเบิด แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ หรือ CENTCOM ซึ่งควบคุมดูแลปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดในตะวันออกกลาง ครอบคลุมพื้นที่หลายประเทศ ตั้งแต่อียิปต์ จอร์แดน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีกำลังพลจากทุกเหล่าทัพ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ นาวิกโยธิน กองทัพอากาศ และหน่วยรบพิเศษ รวมทั้งสิ้นประมาณ 40,000 ถึง 45,000 นาย ตามตัวเลขล่าสุด

รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ได้ "สั่งการให้มีการเคลื่อนย้ายขีดความสามารถเพิ่มเติม" ไปยังพื้นที่รับผิดชอบของ CENTCOM ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง ซึ่งนั่นก็คือเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC-135และ KC-46 รุ่นใหม่ จำนวนมากถึง 20 ลำ ซึ่งถูกส่งไปยัง "สถานที่ที่ไม่เปิดเผย" เครื่องบินเหล่านี้คือ "เส้นเลือดใหญ่" ที่จะคอยต่อชีวิตให้กับฝูงบินรบ ทำให้สามารถปฏิบัติการในอากาศได้นานขึ้นและมีพิสัยทำการไกลขึ้นอย่างมหาศาล

 

อาณาจักรลอยน้ำ

พลังอำนาจของสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนฟ้า แต่ยังครอบคลุมผืนน้ำด้วย กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี ยูเอสเอส คาร์ล วินสัน (USS Carl Vinson) ซึ่งประจำการอยู่ในทะเลอาหรับมานานถึง 7 เดือน กองเรือนี้เป็นเหมือนเมืองลอยน้ำที่มีชีวิต ประกอบด้วยลูกเรือบนเรือบรรทุกเครื่องบินราว 3,000 นาย และกำลังพลที่สังกัดฝูงบินอีก 2,000 นาย

ฝูงบินที่ประจำการอยู่นั้นคือชุดเครื่องมืออเนกประสงค์ที่ครบครัน ประกอบด้วย:

* เครื่องบินขับไล่ F-35 และ F-18: เป็นกำลังรบหลักที่ใช้ในการโจมตีและครองความได้เปรียบทางอากาศ

* เครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์ EA-18 Growler: ทำหน้าที่สำคัญในการรบกวนและทำลายระบบเรดาร์และการสื่อสารของศัตรู

* เครื่องบินแจ้งเตือนล่วงหน้า E-2D Hawkeye: เปรียบเสมือน "ดวงตา" ของกองเรือ ด้วยเรดาร์ขั้นสูงที่ช่วยตรวจจับภัยคุกคามได้จากระยะไกลและรวดเร็ว

* อากาศยานปีกหมุน Osprey และเฮลิคอปเตอร์ Sea Hawk: เพิ่มความคล่องตัวในภารกิจลำเลียง ส่งกำลังบำรุง และค้นหาและกู้ภัย

นอกจากนี้ กองเรือยังประกอบด้วยเรือรบคุ้มกันอีกหลายลำ ทั้งเรือลาดตระเวนติดอาวุธนำวิถี ยูเอสเอส พรินซ์ตัน (USS Princeton) และเรือพิฆาตติดอาวุธนำวิถีอีกจำนวนหนึ่ง และที่สำคัญ กองเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส นิมิตซ์ (USS Nimitz) ก็มีกำหนดการที่จะเดินทางมาสับเปลี่ยนกำลัง ซึ่งจะยิ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคให้ต่อเนื่อง

 

เกราะป้องกันที่มองไม่เห็น - ระบบป้องกันขีปนาวุธ

นอกเหนือจากสินทรัพย์เชิงรุกแล้ว สหรัฐฯ ยังมี "เกราะป้องกัน" ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก มีเรือพิฆาตป้องกันขีปนาวุธชั้นเอจิส (Aegis) ประจำการอยู่ 3 ลำ ได้แก่ ยูเอสเอส อาร์ลีห์ เบิร์ก (USS Arleigh Burke), ยูเอสเอส เดอะ ซัลลิแวนส์ (USS The Sullivans) และ ยูเอสเอส โทมัส ฮัดเนอร์ (USS Thomas Hudner) และกำลังจะมีเรือมาสมทบอีก 2 ลำในเร็วๆ นี้ ขณะที่ในทะเลแดงก็มีเรือพิฆาตอีก 2 ลำคอยเฝ้าระวัง

เรือพิฆาตเหล่านี้ได้แสดงศักยภาพให้เห็นแล้ว โดยมีรายงานว่าเรืออาร์ลีห์ เบิร์ก และ เดอะ ซัลลิแวนส์ ได้ยิงสกัดกั้นขีปนาวุธ SM-3 จำนวนมากเพื่อช่วยป้องกันอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่าน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าหน่วยทหารของ กองทัพบกสหรัฐฯ ที่ประจำการในภูมิภาค ก็ได้ใช้ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธ THAAD ยิงสกัดขีปนาวุธของอิหร่านด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่ทำงานประสานกันหลายชั้นและหลายเหล่าทัพ

 

ทางเลือกทั้งหมดนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์จึงเป็นการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบอันมหาศาล เพราะทุกทางเลือกล้วนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกอย่างแน่นอนค่ะ

 

 

ขอบคุณที่มาจาก..   Beauty Investor 


หยินหยาง