ธปท. เผยความคืบหน้า Regulatory Sandbox เล็งทดสอบ Digital ID นิติบุคคลครึ่งหลังปี 65
นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าที่ผ่านมา ได้สนับสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทางการเงินที่เป็นสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน (Non-bank) พัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในบริการทางการเงินผ่านกลไก Regulatory Sandboxเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถทดสอบให้บริการจริงภายใต้ขอบเขตที่กำหนดควบคู่ไปกับการดููแลความเสี่่ยงและคุ้มครองผู้ใช้บริการที่เหมาะสม
นอกจากนี้ธปท. ได้เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้ประกอบการทางการเงินสามารถทดสอบนวัตกรรมได้เองผ่านกลไก Own Sandboxในกรณีที่เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ขณะที่ โครงการที่เข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox เน้นโครงการที่ถูกออกแบบหรือพัฒนาเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานหรือมาตรฐานกลาง ซึ่งต้องการการทดสอบร่วมกันในวงกว้าง หรือกรณที่มีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์กำหนดให้ต้องเข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox
“การที่สถาบันการเงินจัดตั้ง Own Sanbox เอง จะต้องมีแนวนโยบายที่ชัดเจนและมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่จะกลั่นกรองโครงการต่างๆ โดยนำแนวทางที่ธปท. กำหนดให้สำหรับใช้ใน Sanbox ของธปท. ไปใช้ รวมถึงต้องมีการรายงานต่อธปท. ทุกปีและทุกครั้งที่มีการนำนวัตกรรมมาทดสอบใน Sanvox ของตนเองโดยธปท.จะมีการติดตามผล”
ทั้งนี้จนถึงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2565 มีโครงการที่เข้ามาทดสอบใน Regulatory Sandbox แล้วทั้งหมด 78โครงการ โดยโครงการที่การทดสอบประสบผลสำเร็จและออกให้บริการในวงกว้างแล้วจำนวน 38 โครงการ และโครงการที่กำลังจะออกให้บริการอีก 10 โครงการ รวมเป็นทั้งสิ้น 48 โครงการ สำหรับโครงการที่การทดสอบประสบผลสำเร็จและออกให้บริการในวงกว้างแล้ว 38 โครงการ ได้แก่
1.โครงการ QR Code เพื่อการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการชำระเงิน รวมทั้งลดการใช้เงินสด และทำให้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงมากขึ้น มีโครงการที่ให้บริการแล้ว 18 โครงการ จุดวาง จำนวนQR code 7.2 ล้านจุด ผู้ใช้งานลงทะเบียน PromptPay กว่า 69.5 ล้านหมายเลข
“เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วมีการโอนเงินผ่าน e-Payment อยู่ที่ประมาณ 60 ครั้งต่อคนต่อปี ขณะที่จากข้อมูลเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาพบว่ามียอดการโอนเงินผ่าน e-Payment อยู่ที่ 330 ครั้งต่อคนต่อปี ด้านการลงทะเบียน Mobile Banking มีการผูกบัญชี 125.8 ล้านบัญชี สำหรับการลงทะเบียนพร้อมเพย์ปัจจุบันอยู่ที่ 69.5 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดโอนเงินเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 39.6 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 77.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดย 90% มีจำนวนเงินที่ใช้ประมาณ 600 บาทต่อรายการ ขณะที่วงเงินต่ำกว่า 100 บาทมีจำนวนมากขึ้น”
2.การยืนยันตัวตนโดยใช้ลักษณะทางชีวภาพของแต่ละบุคคล (Biometrics) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการของภาครัฐและเอกชน ผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่น่าเชื่อถือได้ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น มีโครงการที่ให้บริการแล้ว 10 โครงการ โดยหน่วยงานที่เข้าร่วมใช้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม NDID 94 หน่วยงาน ลูกค้าที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 5 ล้านราย เปิดบัญชีเงินฝากผ่าน NDID แล้วกว่า 7 แสนบัญชี ขอข้อมูลเครดิตจากเครดิตบูโรเพื่อสมัครสินเชื่อสำเร็จแล้วกว่า 8 ล้านรายการ
3.การใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อการออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (e-LG) การโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของการออกหนังสือค้ำประกันและการโอนเงินระหว่างประเทศ มีโครงการที่ให้บริการแล้ว 9 โครงการ โดยทำให้ การออกหนังสือe-LG ทำได้รวดเร็วขึ้น ภายใน 1-8 ชั่่วโมง (จากเดิม 3-7 วัน) โดยมีปริมาณธุรกรรมรวมกว่า 65,000 ใบ มูลค่ารวมกว่า 120,000 ล้านบาทการโอนเงินระหว่างประเทศลดระยะเวลาเหลือ 3-5 นาที (จากเดิม 3-5 วัน) ลูกค้าได้รับค่าธรรมเนียมลงเหลือ 199 บาท / รายการ (เดิม 500 – 600 บาท / รายการ)
4.การขอสินเชื่อผ่านระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (P2P lending platform) เพื่อเพิ่มโอกาสแก่ผู้กู้ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อและเป็นแหล่งลงทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น มีโครงการที่ให้บริการแล้วโดยได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง1 โครงการ เมื่อ 22 เมษายน 2565 โดยปล่อยสินเชื่อแล้ว 800 สัญญามูลค่าสินเชื่อ 57 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 4-7% จากตามเพดานกำหนดไม่เกิน 15% ต่อปีทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการทดสอบ P2P lending platform ผ่านกลไก Regulatory Sandbox อีก 3 ราย
น.ส. สิริธิดา เปิดเผยต่อว่า ปัจจุบันธปท. อยู่ระหว่างการศึกษาการทำ Co-Regulatory Sandbox ในกลุ่มผู้กำกับดูแลด้วยกัน โดยผู้กำกับดูแลสามารถร่วมกันกำกับดูแลทำให้เป็นการเพิ่มความสะดวกให้ผู้ประกอบการไม่ต้องไปเข้า Sandbox ในหลายผู้กำกับ
“ที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่เข้ามาทดสอบใน Sandbox เป็นสถาบันการเงินเป็นหลัง โดยธปท. อยากให้ผู้ประกอบการที่เข้ามาทดสอบมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผู้ประกอบการฟินเทค นอกจากนี้การทดสอบที่ผ่านมามีหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลายผู้กำกับดูแล ดังนั้นธปท. จึงมีแนวคิดในการจัดตั้ง Co-Regulatory Sandbox เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องไปหาหลายผู้กำกับ โดยหน่วยงานที่จะเข้ามา เช่น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแล National Digital ID หรือ NDID โดยจะช่วยกันดูแลโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่น การพัฒนา Digital ID สำหรับนิติบุคคล โดยคาดว่าเห็นในครึ่งหลังของปี”
น.ส. สิริธิดา ยังได้กล่าวถึงการทดสอนวัตกรรมการเงินใหม่ เช่น Virtual Bank ขณะนี้ต้องรอเกณฑ์ที่จะออกมาก่อนถึงจะเห็นภาพชัดเจน เช่นเดียวกับ Digital Currency ที่ก่อนหน้านี้มีธนาคารเสนอว่าอยากให้ ธปท.เปิดทดสอบเรื่องนี้ใน Sandbox ต้องรอธปท.มีกฎเกณฑ์สามารถนำมาใช้กับประชาชน หรือผู้ใช้บริการอื่นได้ ในเรื่องการทดสอบจะมีกรอบออกมาทดสอบได้ ซึ่งกำลังพิจารณาร่วมกับกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับกรณีการซื้อขายกิจการระหว่า SCB และ bitkub ได้มีการมาปรึกษาธปท. แต่ไม่ได้เกี่ยวกับ Sandbax