ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์พื้นฐาน “หุ้นกลุ่มแบงก์”

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
150 views

วิเคราะห์พื้นฐาน “หุ้นกลุ่มแบงก์”

ครึ่งหลังปี 66 จะเป็นอย่างไร?

.

ผ่านช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ไปแล้ว โดยภาพรวม 10 หุ้นธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121,918 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รับผลบวกอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นขาขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารสินทรัพย์อย่างมีคุณภาพ ซึ่งมีทั้งหุ้นธนาคารที่กำไรสุทธิเติบโตดีกว่าคาดและต่ำกว่าคาด

.

วันนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของหุ้นกลุ่มธนาคาร มาดูกันว่าหุ้นธนาคารที่มีผลประกอบการดีจะสร้างการเติบโตได้ต่อเนื่องหรือไม่ ในขณะที่หุ้นธนาคารที่ผลประกอบการลดลงจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างไร

.

มาเริ่มกันที่ SCB บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 3/66 เนื่องจากคาดการณ์ว่าปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ดังนั้นรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) และ NIM น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไรที่สำคัญใน 2-3 ไตรมาสข้างหน้า โดยธนาคารตั้งเป้าหมาย ROE ที่ 12-15% ในระยะกลาง เน้นทั้งการเพิ่มผลตอบแทนและลดส่วนของผู้ถือหุ้น สะท้อนว่าจะคงอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูง (60% ในปี 2565)

.

ขณะเดียวกันคาดว่าครึ่งปีหลังต้นทุนสินเชื่อจะลดลงเป็น 170-180 bps จาก 201bps ในไตรมาส 2/66 เนื่องจากมีการตั้งสำรองครั้งเดียวหลังจากการย้ายข้อมูลลูกค้าในพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลไปยังระบบใหม่ในปริมาณมาก แต่ยังน่ากังวลในประเด็นความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และพอร์ตสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ปรับประมาณการกำไรปี 2566 เป็น 43,357 ล้านบาท โต 15.48% ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำ ซื้อ เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 135 บาท

.

ถัดมา KBANK บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 3/66 จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ตามการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากเครื่องมือทางการเงินลดลง และทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประเมินกำไรครึ่งหลังของปี 2566 จะลดลงจากครึ่งแรกของปี จาก ECL ระดับสูงและ opex ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเล็งเห็น upside ต่อ NIM จากแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นสู่ 2.5% ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 39,414 ล้านบาท โต 10.19% ให้คำแนะนำ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายที่ลดลงเป็น 143 บาท

.

สำหรับ BBL บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกําไรสุทธิไตรมาส 3/66 จะขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า รับอานิสงค์ต่อเนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงเดือนมิ.ย. 66 รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ (สัดส่วน 53% ของเงินฝาก) ช่วยให้ Cost of deposit ลดลงราว 0.10% - 0.15% หนุน NII มีโมเมนตัมต่อเนื่อง แม้กรณีที่กนง. ไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอินโดฯ (Permata สัดส่วนราว 10% ของพอร์ตสินเชื่อ BBL) ไต่ระดับมาถึง 5.75% ทําให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอินโดฯ ใกล้ถึงปลายทางดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว

.

นอกจากนี้คาดไตรมาส 3/66 มีปัจจัยบวกจาก OPEX ที่ต่ำลงตามฤดูกาล รวมทั้ง Coverage ratio ที่สูง เปิดทางให้การบริหารจัดการ Credit cost คล่องตัวมากขึ้น ทั้งนี้คาดการณ์กําไรสุทธิปี 2566 ที่ 40,140 ล้านบาท เติบโต 37% คงแนะนํา OUTPERFORM ราคาเป้าหมาย 191 บาท

.

ส่วน KTB บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า คาดกำไรครึ่งหลังของปี 2566 จะอยู่ในระดับทรงตัวจากครึ่งปีแรก เพราะคาดว่า NII ที่เพิ่มขึ้น จาก NIM ขยายตัว จะถูกหักล้างโดยการตั้งสำรองและ opex ที่สูงขึ้น รวมถึงกำไรจากเครื่องมือทางการเงินลดลง สำหรับไตรมาส 3/66 คาดว่ากำไรจะอยู่ในระดับทรงตัวจากไตรมาส 2/66 แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งฝ่ายวิจัยเห็น upside ต่อ NIM จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นสู่ 2.5% โดยปรับประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 40,726 ล้านบาท โต 20.85% ยังคงคำแนะนำ OUTPERFORM ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 25 บาท

.

ขณะที่ BAY บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการ NIM เพื่อสะท้อน NIM ที่ดีกว่าคาด ซึ่งหนุนให้ประมาณการกำไรปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้น 12% เป็น 34,296 ล้านบาท และปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 5% เป็น 36,653 ล้านบาท โดยกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรปี 2566 ของฝ่ายวิจัย ทั้งนี้คาดว่ากำไรไตรมาส 3/66 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงปรับคำแนะนำขึ้นสู่ OUTPERFORM และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 38 บาท

.

TTB บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2566 จะปรับตัวลดลงจากครึ่งปีแรก เพราะเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจที่จะมีบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานและค่าใช้จ่ายลงทุนระบบ IT เพิ่มเข้ามาในไตรมาส 4/66 แต่คาดยังเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหนุนมาจากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลงต่อเนื่อง หลังทยอยปรับชั้นลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงลงเป็น NPL ไปมากแล้ว และลูกหนี้ที่ปล่อยใหม่มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แม้ช่วงสั้นมีประเด็นบวกจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 ที่ดีกว่าคาด ประเมินปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 15,132 ล้านบาท โต 6.6% แต่มองว่าราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกไปมากแล้ว ปัจจุบันไม่มี Upside เหลือจากมูลค่าพื้นฐานเดิมปี 2566 ที่ 1.56 บาท จึงคงคำแนะนำเพียง เก็งกำไร

.

TISCO บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับที่ขยับขึ้น ตามพอร์ตสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ดี หลังปรับใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อเชิงรุกมากขึ้น ขณะที่จากไตรมาส 2/66 คาดปรับขึ้นเล็กน้อย หนุนจากรายได้จากธุรกิจตลาดทุนที่ฟื้นตัวและแผนรุกขยายสินเชื่อในกลุ่มจำนำทะเบียนภายใต้แบรนด์ “สมหวัง” หลังเร่งเปิดสาขาใหม่ไปมากแล้วในครึ่งปีแรก ส่วนการตั้งสำรองคาดทรงตัว เพราะปัจจุบัน Coverage Ratio ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 224% หนุนให้คาดทั้งปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 7,614 ล้านบาท โต 5.4% คงคำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน ที่ 116 บาท

.

KKP บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ไตรมาส 3/66 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรสุทธิจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/66 เพราะการเร่งตั้งสำรองเพื่อชดเชย NPL ที่เร่งขึ้น ขณะที่สินเชื่อปล่อยใหม่บริษัทใช้เกณฑ์การพิจารณาที่เข้มงวดขึ้นเพื่อลดปัญหาในระยะถัดไป ทำให้มองว่าการตั้งสำรองจะเริ่มผ่อนคลายลง รวมถึงคาดรายได้ตลาดทุนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายปี หนุนให้คาดว่าทั้งปี 2566 จะมีกำไรปกติ 7,658 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากปีก่อน แม้ช่วงสั้น KKP จะเผชิญกับแรงขายหลังไตรมาส 2/66 ออกมาต่ำกว่าคาดมาก แต่ด้วยราคาหุ้นที่ Underperform มานานจนมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2566 ที่ 77.50 บาท ฝ่ายวิจัยจึงคงคำแนะนำ ซื้อ

 

 

 


OVERMoney