ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถอดรหัสประเด็นร้อน การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน

โดย Q&K
เผยแพร่ :
118 views

ถอดรหัสประเด็นร้อน การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน THE WISDOM “Wealth Decoded Exclusive Talk”

KBank x ลงทุนแมน

ช่วงที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย เจอความท้าทายและความไม่แน่นอนในหลาย ๆ ด้าน

ทั้งจากปัญหาเงินกลับมาเฟ้อ จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว, สงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย, สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลของประเทศไทย

ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ ส่งผลโดยตรงต่อโลกการเงิน และการลงทุนของเรา…

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จึงได้จัดงาน “Wealth Decoded Exclusive Dinner Talk” ถอดรหัสประเด็นร้อน พร้อมค้นหาโอกาสการลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน

เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าวิสดอมนำไปปรับใช้ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

งานนี้ได้เชิญนักลงทุนระดับท็อปของประเทศอย่าง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) และ อ.ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่)

มาไขเคล็ดลับกลยุทธ์และแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับลูกค้าวิสดอมอย่างใกล้ชิด

ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?

ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง

ปี 2566 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของนักลงทุน หลาย ๆ คน

ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยด้านนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ที่ยังค่อย ๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อชะลอความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ

โดยในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.9%

ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25%

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อจะดูคลี่คลายลง

แต่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน

ซึ่งล่าสุดทางรัฐบาลจีนก็เพิ่งประกาศแบนผลิตภัณฑ์ของ “ไมครอน” บริษัทชิปหน่วยความจำของสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ที่ฝั่งสหรัฐฯ แบนผู้ผลิตชิปของจีน พร้อมจุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

ข้ามมาในฝั่งของประเทศไทย แม้ว่าไทยจะเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ไปจนถึงความกังวลเรื่องนโยบายในอนาคตของรัฐบาล

อย่างไรดี จากสถิติแล้ว การลงทุนในหุ้นมักจะมีความผันผวนมาก เมื่อมีปัจจัยความไม่แน่นอน

แต่ว่าถ้าความขัดแย้งได้คลี่คลายลง หุ้นจะเป็นหนึ่งสินทรัพย์ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี

โดยคุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ได้กล่าวว่า

ถ้าพิจารณาจากสถิติในอดีตจะพบว่า ตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งมักปรับตัวขึ้น

แต่สำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยกลับถูกแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

จากความกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจในอนาคตของรัฐบาล

เช่น

- นโยบายทลายการผูกขาดและเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

- นโยบายเก็บภาษีหุ้นแบบ Capital Gain Tax หรือการเก็บภาษีเมื่อขายหุ้นทำกำไร

แน่นอนว่า ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงกว่า 6% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น

อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาว เหล่านักลงทุนแนว VI หรือ Value Investor ไม่สมควรกังวลกับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น หรือการขึ้น-ลงของดัชนีในตลาดหุ้นมากนัก

แต่สมควรให้ความสำคัญกับการค้นหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความผันผวน โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี อยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และจะสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

โดยพิจารณาจากความสามารถทางการแข่งขันว่าประเทศไทย “เก่ง” ด้านใดเป็นสำคัญ..

ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโรคระบาด ในลักษณะ K-Shaped หรือหมายความว่า แต่ละอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน

ซึ่งอุตสาหกรรม และธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงเวลานี้คงหนีไม่พ้น ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศไทย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น

- ธุรกิจโรงพยาบาล

- ธุรกิจโรงแรม

- ธุรกิจอาหาร

- ธุรกิจสปา

แน่นอนว่า การที่คนไทยมีพฤติกรรมที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว หรือ Service Mind และการที่ประเทศไทยล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เปรียบเสมือนจุดแข็งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือ ธุรกิจเครื่องสำอาง

เพราะธุรกิจเครื่องสำอางจัดเป็นกลุ่มที่อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนทั่วโลกรู้จัก เข้าถึง และซื้อได้ง่าย อีกด้วย

สุดท้ายแล้ว คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ แนะนำว่า การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน นักลงทุน VI จะต้องเน้นหาข้อมูลอินไซต์เกี่ยวกับความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อเลือกลงทุนในบริษัทที่ใช่

เช่น

- เส้นสายทางธุรกิจหรือสัมปทานที่สร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทนั้น ๆ

- ชื่อเสียงของบริษัทหรือแบรนด์ ตลอดจนความใหญ่ของบริษัท เช่น ขนาดโรงงาน หรือจำนวนสาขา

- ผลประกอบการย้อนหลัง ที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัททั้งในอดีต และในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนท่านไหนไม่มีเวลาศึกษาข้อมูล แนะนำให้ลงทุนผ่านเครื่องมือการลงทุนต่าง ๆ เช่น ซื้อกองทุนอิงดัชนี (Index Fund) หรือซื้อหุ้นกู้, พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ

โดยเลือกจังหวะในการเข้าซื้อที่ใช่ และเน้นกระจายความเสี่ยง

มาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากเซียน VI ระดับท็อปของประเทศกันบ้างแล้ว

ทีนี้เราลองมาดูความคิดเห็นจากเซียนหุ้นจีน อย่าง อ.ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่) กันบ้าง

ปัจจุบัน เซียนมี่แบ่งพอร์ตการลงทุนในประเทศไทยสัดส่วน 70% และต่างประเทศ 30%

สำหรับหุ้นไทย ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีความไม่แน่นอนสูง จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

แต่ในอนาคตประเทศไทยยังจะสามารถเติบโตได้ดีจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการที่ประเทศไทยเปรียบเสมือนฮับเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาคอาเซียน

โดย 3 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในตลาดไทย คือ

- Domestic Play หรือธุรกิจที่พึ่งพาเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ จะเติบโตอย่างมั่นคง เช่น นโยบายเงินดิจิทัล หรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น

- Tourism หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ที่จะฟื้นตัวได้ดีจากการที่ไทยเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่านักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน

- Carbon Credit หรือตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยลดแก๊สเรือนกระจก และเป็นที่หมายตาของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก

สำหรับหุ้นจีน ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหามากมาย ทั้งมาตรการคุมเข้มเรื่องโรคระบาด, การที่รัฐบาลจีนเข้มงวดกับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ไปจนถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา

จีนก็ยังเป็นหนึ่งประเทศที่เติบโตได้อย่างน่าสนใจ

เพราะในไตรมาสล่าสุด จีนก็ยังสามารถทำ GDP เติบโตได้ถึง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

และเมื่อไม่นานนี้ จำนวนมหาเศรษฐีในจีนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 34,000 ล้านบาท (Billionaire) ก็เติบโตจนแซงประเทศสหรัฐอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย

ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน จีนถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการขนส่ง, ดิจิทัลและเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านการศึกษา

โดยในปี 2565 จีนมีนักศึกษาที่จบการศึกษาในสาขา STEM (Science, Technology, Engineering Mathematics) มากกว่า 4.7 ล้านคน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีอยู่เพียงหลักแสนคน

ที่น่าสนใจคือ จีนถือเป็นประเทศแรก ๆ ที่ทางรัฐบาลนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้อย่างเป็นทางการ

โดย Digital Yuan จะถูกพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงินของทั้งชาวจีน และชาวต่างชาติ อยู่ไม่น้อย

แน่นอนว่า อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากปัจจัยบวกเหล่านี้ คงหนีไม่พ้น

- อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และ Internet of Things เช่น Xiaomi และ Bilibili

- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ อย่าง Kweichow Moutai และ Haidilao

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศจีนนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศ และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนจึงสมควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน

แล้วในมุมมองของ เซียนมี่ กลยุทธ์การลงทุนในตลาดจีนมีอะไรบ้าง ?

1. ลงทุนในธีมที่สอดคล้องกับ Vision ของรัฐบาลจีน

นักลงทุนสมควรศึกษาและเข้าใจแนวคิดของรัฐบาลจีน พร้อมนำนโยบายต่าง ๆ มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาอุตสาหกรรม และธุรกิจที่จะได้รับผลประโยชน์

2. ลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี มี Valuation ไม่สูงมาก และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการแข่งขันสูง

3. วิเคราะห์ความสามารถของผู้บริหาร ในการนำพาบริษัทสู่เป้าหมายในอนาคต

4. แบ่งไม้การลงทุนไว้หลาย ๆ ไม้ และทยอยลงทุนหุ้นพื้นฐานดี เวลาตลาดผันผวนหนัก

ซึ่งนักลงทุนสมควรวางแผนการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification) แบ่งเป็น

ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย และในบริษัทที่เราศึกษามาดีพอราว ๆ 70%

และลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อีก 30%

นอกจากนี้ คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวปิดท้ายว่า

ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่น่อนสูง จากทั้งปัจจัยมหภาค และปัจจัยจุลภาค ทำให้นักลงทุนหลาย ๆ คนเริ่มย้ายการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ และกองทุนเสี่ยงต่ำ จึงกลายมาเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนชั้นดี ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญคือการตอบตัวเองก่อนว่า เราลงทุนไปเพื่ออะไร และเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร

สำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรศึกษาพื้นฐานบริษัท และความได้เปรียบทางการแข่งขัน ที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้ดีในอนาคต

สำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไร ควรมีวินัยที่ดี เมื่อเวลาหุ้นขึ้นควร Let Profit Run

แต่เมื่อหุ้นลง ควรมีวินัยและ Cut Loss

เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนด้วยความเข้าใจ จะทำให้เรามีความสุข และประสบความสำเร็จด้านการลงทุนในระยะยาว นั่นเอง

มาถึงตรงนี้ เราคงพอสรุปได้ว่า ถึงแม้ว่า ปี 2566 จะเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของเหล่านักลงทุนหลาย ๆ คน

แต่ทุก ๆ วิกฤติก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาให้ความรู้วิเคราะห์การลงทุนที่เดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพื่อเป็นการอัปเดตทิศทางเศรษฐกิจ และแนวทางในการตัดสินใจลงทุนให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ..

หมายเหตุ : ผลตอบแทนดัชนี SET Index ย้อนหลัง 3 เดือน ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2566

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

 

References:

-https://tradingeconomics.com/united-states/inflation-cpi

-https://tradingeconomics.com/united-states/interest-rate

-https://www.weforum.org/.../which-countries-students.../...

 

 


Q&K