ห้องเม่าปีกเหล็ก

สงครามการค้า Semiconductor สหรัฐ vs จีน

โดย อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง
เผยแพร่ :
269 views

สงครามการค้า Semiconductor สหรัฐ vs จีน

 

 

บทความโดย : ณัฐนันท์ รำเพย 
 

ในช่วงไม่นานมานี้ สหรัฐอเมริกาได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเพื่อรักษาฐานะผู้นำในตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก…ทั้งการออกกฎหมายเพื่อดึงดูดบริษัทในอุตสาหกรรมให้เข้ามาตั้งโรงงานและทำการวิจัยในดินแดนสหรัฐฯ โดยกฎหมายฉบับนี้เรียกกันว่า “Chips Act” และก็ยังได้มีมาตรการการค้าระหว่างประเทศ ที่สหรัฐฯ ทำการควบคุมบริษัทในประเทศของตน ให้ส่งชิปที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนไปให้บริษัทจีนยากขึ้น 

นโยบายนี้ถือเป็นนโยบายล่าสุดในเหตุการณ์สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจที่ต้องจับตามองว่าจะส่งผลกระทบต่อใคร อย่างไรบ้าง แต่ก่อนอื่นใด เราลองมาสำรวจตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกกันพอสังเขป

 

 

สหรัฐยังเป็นผู้นำ แต่จีนก็หวังจะไล่ตามให้ทัน
 

เริ่มจากมูลค่าทางตลาด โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา ตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกมีมูลค่ารวมกันราว 556,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่าง ​McKinsey ก็คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดของเซมิคอนดักเตอร์จะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าโดยตัวมันเองก็มหาศาลมากแล้ว 

แต่เซมิคอนดักเตอร์ก็ยังมีความสำคัญต่อการอุตสาหกรรมอื่นๆ หลากหลาย ไล่ตั้งแต่ เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ รถยนต์ ไปจนถึงระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ครอบครองการผลิตชิปเหล่านี้ ก็จะกุมความได้เปรียบในการผลิตสินค้าอื่นไปด้วย

โดยประเทศผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลักในตอนนี้ไล่ตามลำดับมูลค่าการขาย ได้แก่ 

    1.สหรัฐฯ (46% ของตลาดโลก) 

    2.เกาหลีใต้ (21% ของตลาดโลก) 

    3.ญี่ปุ่น (9% ของตลาดโลก) 

    4.EU (9% ของตลาดโลก) 

    5.ไต้หวัน (8% ของตลาดโลก) และ

    6.จีน (7% ของตลาดโลก)

เราจะขอเน้นไปที่สหรัฐฯ กับจีนเป็นหลัก โดยจะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีรายได้จากการขายชิปมากที่สุดในโลก ในขณะที่จีนยังตามหลังอยู่ค่อนข้างมาก 

นอกจากนี้ ลักษณะของชิปที่ทั้งสองประเทศผลิตก็ยังมีความแตกต่างกันทางด้านเทคโนโลยี สหรัฐฯ จะผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีสูงกว่า ใช้กับอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนมากกว่า สังเกตได้จากราคาขายเฉลี่ยของชิปอเมริกาที่สูงถึง 2.16 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิ้น

ในขณะที่จีนผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้มาไม่นาน แต่ก็มีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงทำให้สร้างอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมาได้ 

สะท้อนออกมาที่ราคาขายเฉลี่ยของชิปจีนอยู่ที่ 0.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิ้น ต่ำกว่าของสหรัฐฯ พอสมควร แต่แค่รายได้และราคาขายเฉลี่ยต่อชิ้น ไม่ได้ฉายภาพทั้งหมดของอุตสาหกรรมนี้ 

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณา คือ ดินแดนที่ตั้งโรงงานผลิต 

เนื่องจากบริษัทสหรัฐฯ บางส่วนไม่ได้มีโรงงานผลิตในประเทศตนเอง แต่ไปตั้งโรงงานผลิตชิปที่ประเทศอื่น หรือไม่ก็จ้างบริษัทประเทศอื่นผลิตแทน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในทวีปเอเชีย) ทำให้เวลามีปัญหาทางด้านการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นจากเหตุการณ์อุบัติเหตุ โรคระบาด หรือแม้แต่ปัญหาทางด้านนโยบายในประเทศผู้ผลิต บริษัทสหรัฐฯ ที่เป็นผู้สั่งผลิตก็ได้รับผลกระทบไปด้วย

นโยบายสนับสนุนภายในและการขัดแย้งกันทางการค้า
 

ทางสหรัฐฯ จึงได้มีออกกฎหมายที่ชื่อ “Chips Act” เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิปในดินแดนตนเองมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

พวกเขายังไม่หยุดแค่นโยบายสนับสนุนภายในเท่านั้น แต่ยังมีมาตรการชะลอการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีนไปพร้อมกันผ่านการควบคุมการส่งออกชิป หรือการเข้าไปช่วยพัฒนาเทคโนโลยีชิปจีน ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเจรจากันว่า บริษัทของสหรัฐและพันธมิตรจะร่วมมือกันมากแค่ไหนในการปิดกั้นจีน 

ประเด็นนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะ ปัจจุบันจีนกำลังพยายามพัฒนาสร้างชิปที่มีความซับซ้อนมากขึ้นด้วยตัวเองให้ได้ แต่หากประเทศมหาอำนาจอื่นรวมกันกีดกัน ก็อาจจะทำให้กระบวนการพัฒนาล่าช้าออกไป

ซึ่งทางจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตอบโต้สหรัฐฯ โดยการร้องเรียนไปที่องค์การการค้าโลก (WTO) ว่า การกีดกันการส่งออกของสหรัฐฯ เช่นนี้ เป็นการผิดข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวคิดว่า การตั้งกำแพงกีดกันทางการค้าไปมาจะทำให้ต้นทุนการผลิตของทั่วโลกสูงขึ้น และเป็นการฉุดรั้งความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

เพราะในปัจจุบัน การที่สหรัฐฯ ขายชิปที่ราคาแพงกว่า และจีนขายชิปที่ถูกกว่า ก็เป็นการอาศัยข้อได้เปรียบของแต่ละประเทศ คือ สหรัฐฯ ที่มีการวิจัยมามากกว่า ส่วนจีนก็อาศัยค่าจ้างที่ถูกกว่า แต่สิ่งที่ทางสหรัฐฯ ออกมาพูดนั้น พวกเขาก็บอกว่า การควบคุมการส่งออกนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องของการค้า แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศด้วย 

นโยบายที่ออกมาก็เริ่มส่งผลออกมาแล้ว ทั้งการประกาศเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในประเทศสหรัฐฯ ของหลายบริษัทซึ่งมีบริษัทนอกสหรัฐฯ อย่าง TSMC ที่ลงทุนถึง 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสร้างโรงงานที่แอริโซนา

นอกจากนี้ ประเทศอย่างเวียดนามหรืออินเดียก็อาจจะได้รับส้มหล่น กลายเป็นทางเลือกใหม่ของการตั้งโรงงานผลิตชิปที่ไม่ซับซ้อนมาก เพราะจุดเด่นทางด้านต้นทุนแรงงานที่ยังไม่สูง ทางประเทศในทวีปยุโรปเองก็กำลังหารือกันเช่นกันว่า พวกเขาจะเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดมูลค่ามหาศาลนี้มากขึ้นได้หรือไม่ 

โดยในปัจจุบันองค์ประกอบบางอย่างของชิปก็ผลิตในยุโรปอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “the extreme ultraviolet lithography (EUV)”  ที่มีแค่โรงงานเนเธอร์แลนด์เท่านั้นเป็นผู้ผูกขาดการผลิตคนเดียวของโลกด้วย

 

ที่มา : https://www.bnomics.co/semiconductor-usa-vs-china-war/

 

 


อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง