ห้องเม่าปีกเหล็ก

คัด 5 หุ้นเด่น ธีม Dividend Plays รับมือตลาดหุ้นไทยช่วงปรับฐาน

โดย dave
เผยแพร่ :
328 views

คัด 5 หุ้นเด่น ธีม Dividend Plays

รับมือตลาดหุ้นไทยช่วงปรับฐาน

.

สำหรับนักลงทุนที่ได้ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย อาจจะทราบกันดีว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือการปรับฐานลงมาของตลาด โดยนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/66 มาถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 20 กันยายน 2566) ก็ลงมากว่า 11.1%

.

โดยสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยอย่างนโยบายอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ได้มีการปรับตัวขึ้น ที่เข้ามาให้นักลงทุนชะลอการลงทุนหรือโยกย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ดังกล่าว แต่ภาวะตลาดหุ้นเช่นนี้มีมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิเคราะห์มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่าน

.

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าภาพรวมตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงต่อเนื่อง เชิงกลยุทธ์เราเริ่มมองกลุ่มหุ้นปันผลมากกว่า 3% ต่อปีต่อเนื่องช่วง 5 ปีหลัง หลังมีความน่าสนใจผสานเกณฑ์ที่เราใช้คัดเลือกเพิ่มเติมคือ กำไรปี 2567 เติบโตได้เกิน 10% จึงมองว่ากลุ่ม Dividend Plays น่าสนใจและน่าสะสมธีมดังกล่าว

.

สำหรับหุ้นแนะนำ TU (อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 4.05%, คาดการณ์กำไรปี 67 เติบโต 24.5%), SC (อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 4.05%, คาดการณ์กำไรปี 67 เติบโต 24.5%), KKP(อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 6.0%, คาดการณ์กำไรปี 67 เติบโต 10.9%), SCC (อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 5.1%, คาดการณ์กำไรปี 67 เติบโต 11.8%), ADVANC(อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 3.7%, คาดการณ์กำไรปี 67 เติบโต 10.5%)

.

โดยปัจจัยพื้นฐานและคาดการณ์เงินปันผลหุ้นรายตัว บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองถึงคาดการณ์ตัวเลขเงินปันผลของ TU ปี 2566 ที่ 0.70 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4.9% พร้อมกับแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 18.70 บาท

.

ด้านปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ ประเมินว่าคำสั่งซื้อของลูกค้าเริ่มกลับมาสต๊อกสินค้าอีกครั้ง ขณะที่ต้นทุนปลาทูน่ามีราคาลงมาตั้งแต่ ก.ค. ซึ่งคาดว่าจะหนุนกำไรครึ่งปีหลังปี 66 ให้ปรับตัวสูงขึ้น 31.4% จากครึ่งปีแรกปี 66 และกลับมาเติบโต 16% ในปี 2567 หรืออยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท จากฐานต่ำปี 2566 ที่คาดไว้ 5 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 31%

.

ต่อมาที่ SC นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้คาดการณ์ตัวเลขเงินปันผลในปี 2566 ไว้ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 5.9% พร้อมกันนี้ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 5 บาท

.

สำหรับภาพธุรกิจคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 66 จะเติบโต 20-25% จากครึ่งปีแรกปี 66 เป็น 1.4-1.5 พันล้านบาท จากโครงการแนวราบบางส่วนที่จะรับรู้รายได้ทันภายในไตรมาส 4/66 และมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ที่จะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังปี 66 ราว 8.9 พันล้านบาท จึงหนุนกำไรทั้งปี 2566 เป็น 2.6 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 1.7%

.

ด้าน KKP บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้คาดการณ์ตัวเลขเงินปันผลในปี 2566 ที่ไว้ 3.62 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 6.6% พร้อมกับให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 77.50 บาท

.

ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 7,658 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดีคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรตั้งแต่ไตรมาส 3/66 จากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลงและรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ปรับขึ้นต่อและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่จะฟื้นตัวขึ้น รวมถึงจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ของ SAM (ธุรกิจ AMC) เข้ามาช่วยเสริม

.

ถัดมา SCC บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินตัวเลขของเงินปันผลในปี 2566 ไว้ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 4.25% พร้อมกับได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 410 บาท

.

สำหรับมุมมองธุรกิจในปี 2566 จะมีกำไรอยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อนหน้า ซึ่งคาดการณ์กำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันและครึ่งปีแรกปี 66 จาก EBITDA margin ธุรกิจซีเมนต์ที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีจะพลิกกลับมามีกำไร รวมไปถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปริมาณขายฟื้นตัวและต้นทุนกระดาษกับถ่านหินลดลง

.

สุดท้าย ADVANC บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้คาดการณ์ตัวเลขของเงินปันผลในปี 2566 ไว้ที่ 8.05 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 3.6% ตามด้วยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 243 บาท

.

พร้อมกันนี้ได้ประมาณการกําไรปี 2566 ไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 8%จากปีก่อนหน้า โดยคาดว่ากําไรไตรมาส 4/66 จะเป็นจุดสูงสุดของปี จากรายได้ค่าบริการมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกันคาดยอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือจะปรับตัวสูงขึ้นตามรับรู้การขายไอโฟน 15 เข้ามาอย่างเต็มไตรมาส และค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่ลดลงตามค่า FT

 

 


dave