‘แบงก์รัฐ’อัดแผนอุ้มผู้ประกอบการ ลดดอกเบี้ย-เพิ่มทุนหมุนเวียน
- “คลัง” สั่งเร่งแบงก์รัฐอัดมาตรการรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ
- “ออมสิน” ลดดอกเบี้ย 2-3% อุ้มลูกหนี้ส่งออกและซัพพลายเชน
- EXIM BANK เล็งลดดอกเบี้ยพร้อมช่วยสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน
- ธพว.จัดซอฟต์โลนช่วยเอสเอ็มอี 3 หมื่นล้าน ส่วนธอส.อุ้มลูกหนี้กลุ่มเฝ้าระวังพิเศษ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 7 แห่ง จัดทำมาตรการ เพื่อช่วยลูกหนี้บรรเทาผลกระทบจากกรณีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ
สำหรับแบงก์รัฐที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่งสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนมาตรการที่ต้องการงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลจะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ออมสินลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าธนาคารอัตรา 2-3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ธุรกิจส่งออก ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการลดดอกเบี้ยครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจของธนาคารทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยลูกค้าจะได้รับการลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ซึ่งให้ลูกค้ามารับการช่วยเหลือถึง 30 ก.ย.2568
“นโยบายกำแพงภาษีดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ จนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่องและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม”
EXIM BANK ลดภาระดอกเบี้ย 20%
นายพิชัย กล่าวว่าธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ดูแลผู้ส่งออก 3,000 ราย เตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องหากมาตรการภาษีสหรัฐทำให้ธุรกิจหยุดชั่วคราวจะพิจารณาเงินทุนหมุนเวียนและลดดอกเบี้ย 20% ของอัตราดอกเบี้ยจ่ายแต่ละงวด และให้ธนาคารเปิดแผนกให้คำปรึกษาและรวบรวมข้อมูลมาพิจารณามาตรการ
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่ามีแผนช่วยผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐโดยตั้ง Export Clinic สนับสนุนด้านการเงิน ขยายเวลาชำระหนี้สูงสุด 365 วัน มาตรการเสริมสภาพคล่องด้วยเงินทุนหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยต่ำ อาทิ สินเชื่อคงการจ้างงาน (สปส.) และการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือที่ไม่ใช่ด้านการเงิน อาทิ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเปิดตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าผู้ส่งออกได้รับผลกระทบคิดเป็นมูลค่าส่งออก 7,634 ล้านดอลลาร์
ธอส.อุ้มลูกหนี้กลุ่มเฝ้าระวังพิเศษ
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีจากสหรัฐกระทบการประกอบอาชีพ ธุรกิจและการค้า โดยเน้นลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ดังนี้
เดือนที่ 1-6 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี ลูกค้าผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน , เดือนที่ 7-9 ผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90% บวกเพิ่ม 100 บาท และเดือนที่ 10-12 ผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% บวกเพิ่ม 100 บาทกรณีลูกค้าชำระเงินเกินกว่าที่กำหนด ส่วนที่เกินจะถูกนำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระก่อน
ขณะเดียวกัน ธอส.มีมาตรการแก้ปัญหนี้ครัวเรือนควบคู่มาตรการบรรเทาผลกระทบลูกหนี้ โดยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่อัตราดอกเบี้ยต่ำไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้
ธ.ก.ส.เล็งแก้หนี้เรื้อรัง
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แตกต่างจากแบงก์อื่นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอ่อนแอเป็นเกษตรกร ซึ่งกำไรต่อปีของ ธ.ก.ส.ไม่สูงมากนักเพราะมีภารกิจช่วยเกษตรกรเป็นหลัก โดย ธ.ก.ส.รับนโยบายมาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะการแก้หนี้กลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง
ทั้งนี้ มอบนโยบายให้ ธ.ก.ส.แก้ไขหนี้เกษตรกรจริงจัง โดยเฉพาะหนี้เกษตรกรสูงอายุที่มีอยู่เกือบ 1 แสนบัญชี
“ลูกค้า ธ.ก.ส.จำนวนมากเริ่มอายุเยอะและเริ่มไม่ทำการเกษตร ขณะที่ทายาทไม่อยากรับหนี้สินพ่อแม่ ดังนั้นคิดว่าอาจตั้ง AMC และมอบนโยบายให้ ธ.ก.ส.ดูรายละเอียดแล้วมาเสนอภายใน 1 เดือน อาจะเป็นแบบ JV AMC เพราะแบงก์ก็แฮร์คัทยากก็ต้องนำวิธีนี้มาใช้”
ทั้งนี้การจัดตั้ง AMC จะเป็นทางเลือกจัดการปัญหาหนี้ ซึ่งดีกว่าส่งมอบหนี้ให้ทายาท ขณะที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ของ ธ.ก.ส.ได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบัน NPL ของ ธ.ก.ส.ไม่สูงมาก โดยปิดปีบัญชี ณ 31 มี.ค. 2568 อยู่ที่ 5.8%
ธพว.เตรียมสินเชื่อดอกต่ำ 3 หมื่นล้าน
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการธาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เปิดเผยว่า เตรียมสินเชื่อวงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน แบ่งเป็น
1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท สนับสนุนให้ผู้เอสเอ็มอีลงทุนติดตั้งเครื่องจักร ระบบ อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด
2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1.5 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงแหล่งทุน
3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME”วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ
“เตรียมมาตรการทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินเพื่อช่วย SME ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ทางตรงวงเงิน 1,400 ล้านบาท และทางอ้อมที่เป็นซัพพลายเชนทั้งหมด รวมทั้งผู้ผลิตในประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ”
ขยายแก้หนี้ “คุณสู้เราช่วย”
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ดังนี้
1.ขยายคุณสมบัติมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” จากเดิมต้องมียอดค้างชำระ ณ วันที่ 30 ต.ค.2567 เกิน 30 วันขึ้นไป จะปรับเป็นให้ลูกหนี้ที่มีประวัติเคยค้างชำระเพียง 1 วันขึ้นไป และเคยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้วเข้าร่วมได้ โดยครอบคลุมลูกหนี้สินเชื่อบ้านวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท, สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท, สินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 50,000 บาท และสินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ลูกหนี้จะได้รับการลดค่างวดผ่อนชำระลงเหลือ 50% ปีแรก, 70% ปีที่สอง และ 90% ปีที่สาม พร้อมพักภาระดอกเบี้ย 3 ปี ในช่วง 3 ปีนี้ค่างวดจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด ส่วนดอกเบี้ยที่ถูกพักไว้จะได้รับการยกเว้น
2.ขยายเพดานหนี้มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” จากเดิมหนี้เสียไม่เกิน 5,000 บาท เป็นหนี้เสียแบบไม่มีหลักประกันเพดานหนี้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี และหนี้เสียแบบมีหลักประกัน เพดานหนี้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี โดยลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอชำระหนี้ขั้นต่ำ 10% ของยอดหนี้คงค้างเพื่อปิดบัญชีหนี้ทั้งหมดได้ทันที
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับความสนใจและมีประชาชนขอเข้าร่วมจำนวนมาก และรัฐบาลมีนโยบายเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนต่อเนื่องจึงมีแผนขยายเวลาจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2568 โดยจะเสนอ ครม.ภายในเดือน มิ.ย.นี้
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1181856