ห้องเม่าปีกเหล็ก

7 วันอันตราย

โดย Sunnyday
เผยแพร่ :
61 views

7 วันอันตราย

 

พูดไปในรายการ “เงินทองต้องรู้” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันศุกร์สิ้นเดือนว่า “ช่วงนี้เป็นช่วง 7 วันอันตราย” ที่ไม่ได้เกี่ยวกับวันหยุดยาว หรือเป็นช่วงเทศกาลอะไรหรอกค่ะ แต่เป็นช่วง 7 วันหลังจากเงินเดือนออก” แปลว่า ถ้าใครที่เงินเดือนออกตั้งแต่วันที่ 25 ถ้านับจนถึงวันนี้ คุณได้ผ่านช่วง 7 วันอันตรายนั้นมาแล้ว

ส่วนใครที่เงินเดือนสิ้นเดือนเป๊ะ ยังถือว่า อยู่ในช่วงอันตรายที่สุดของการจับจ่ายใช้สอย เพราะช่วงเงินเดือนออกนั้น เป็นช่วงที่เรามี “อำนาจซื้อ” สูงสุด เป็นช่วงเวลา “เรียกพี่ว่าป๋า” อย่างแท้จริง

เงินเดือนจะหมดไม่หมด หรือจะพอใช้ไม่พอใช้สำหรับอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้สอยในช่วงสิ้นเดือนนี่แหละค่ะ

สำหรับตัวเองแล้ว ดิฉันเคร่งครัดเรื่อง 7 วันอันตรายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยสิ่งที่ยึดเป็นหลักปฏิบัติที่ทำมาตลอด เป็นการวางแผนการเงินระยะสั้นแบบต่อเดือนเดือน

ขั้นแรก : ทำบัญชีรับ-จ่ายของเดือนถัดไปล่วงหน้า

เช่น ก่อนที่เงินเดือนประจำเดือนพฤษภาคมจะออก 1 วัน ดิฉันจะลงมือบันทึกรายรับ (ซึ่งมีหลายทาง ทั้งเงินเดือนประจำ ค่าจัดรายการวิทยุ ค่าจัดรายการโทรทัศน์ ค่าเขียนคอลัมน์ หรือรายได้ที่ไม่ใช่งานประจำ แต่รู้คิวงานล่วงหน้า เช่น งานผู้ดำเนินรายการ งานพิธีกร) รวมตัวเลขทั้งหมดไว้ในฝั่งรายรับ (ถ้าใครมีรายได้จากงานประจำอย่างเดียวเท่าไหร่ก็เท่านั้นค่ะ ส่วนถ้าใครที่เป็นฟรีแลนซ์มีรายได้ไม่แน่นอน ต้องลองกะตัวเลขคร่าวๆ ไว้นะคะ)

หลังจากนั้น ก็จะบันทึกรายจ่ายของเดือนมิถุนายน เอาเฉพาะรายจ่ายประจำก่อน เช่น เงินเดือนแม่-เบี้ยเลี้ยงลูก ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต บันทึกรายการที่ต้อง “จ่ายแน่ๆ” ก่อน (ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ ถึงใบแจ้งหนี้จะไม่มา แต่เราประเมินคร่าวๆ จากยอดที่ใช้จ่ายประจำได้อยู่แล้ว ส่วนค่าบัตรเครดิต จะใช้วิธีโทรไปขอให้คอลล์เซ็นเตอร์ของบัตรส่งยอดใช้จ่ายให้ทาง SMS ก็สะดวกดีนะคะ)

พอได้ตัวเลขรายรับและรายจ่ายแบบคร่าวๆ แล้ว เอามาหักกลบลบกัน เราก็จะเห็นแล้วว่า เดือนมิถุนายนที่กำลังจะมาถึง บัญชีครัวเรือนของเรา “ติดลบ” แปลว่า รายรับไม่พอกับรายจ่าย หรือ “มีเหลือ” แปลว่า เดือนนี้มีรายรับมากกว่ารายจ่าย

ตัวเลขนี้มันสำคัญตรงที่จะกำหนดพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราในเดือนนี้ได้เลย

และต้องระลึกไว้เสมอว่า ถ้าเราเริ่มงง ไม่รู้ว่ารายรับเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ นั่นแสดงว่า เรากำลังเริ่มต้นเห็นเค้าลางของปัญหาทางการเงินแล้วค่ะ

ขั้นที่สอง : จัดการกับเงิน

เมื่อรู้ “ตัวเลข” รายรับและรายจ่ายคร่าวๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องลงมือวางแผนบริหารจัดการเงินของเราในเดือนนี้กันต่อค่ะ

สำหรับคนที่ “ติดลบ” ทางออกที่ดีมี 2 ทาง คือ หนึ่ง หาทางหารายได้เพิ่ม และสอง หาทางลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อทำให้ช่องว่างระหว่างรายรับและรายจ่ายมันกว้างขึ้น ส่วนทางออกที่ 3 ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีและไม่แนะนำ แต่เป็นทางออกที่ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุด คือ กู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า กลายเป็นภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ

ส่วนคนที่ “มีเหลือ” ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้จ่ายค่ะ เพราะในความ “เหลือ”นั้น เราต้องดูด้วยว่า เหลือมากหรือเหลือน้อย เพราะเงินที่เหลือเป็นเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตลอดทั้งเดือน ทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง ซึ่งเป็นรายจ่ายหลักของมนุษย์เงินเดือน เงินที่เหลือจากการคำนวณคร่าวๆ ของเราล่วงหน้า จะบอกเราได้ว่า เดือนนี้เราโอกาสกินหรู อยู่แพงได้หรือไม่ ถ้าดูตัวเลขแล้ว “เหลือน้อย” ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้เอา 30 หารตัวเลขที่เหลือ จะรู้เลยว่า จะกินใช้ได้เฉลี่ยวันละเท่าไหร่

แต่ถ้า “เหลือมาก” แนะนำให้แยกเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนทันทีหลังเงินเดือนออกค่ะ เพราะเมื่อเราคำนวณล่วงหน้าแล้วว่า เดือนนี้มีเงินเหลือมาก เช่น ปกติมีรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าอาหาร ค่าเดินทางเดือนละไม่เกิน 10,000 บาท (หลังจากหักรายจ่ายคงที่ตามขั้นที่ 1) แต่ตัวเลขเงินเหลือมีโชว์ว่า มีเงินเหลือแน่ๆ 15,000 บาท ถ้าจะเบียดเบียนตัวเองหน่อยก็ดึง 5,000 บาทที่เหลือแน่ๆ แยกใส่ในบัญชีเงินออม อย่าให้ปนกับเงินเดือน เพราะเดี๋ยวใช้เพลิน แต่ถ้าไม่อยากเบียดเบียนตัวเองมาก ก็ดึงออกมาแค่ 2,000-3,000 บาทมาเก็บออมไว้ค่ะ ที่เหลือก็ให้รางวัลตัวเองด้วยอาหารดีๆ ซักมื้อ หรือเสื้อผ้าใหม่ซักชุด หรือนัดสังสรรค์กับเพื่อน เป็นการเติมความสุขให้กับชีวิตบ้าง ก็ไม่ผิดกติกา

ทั้งสองขั้นตอนนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เราสามารถวางแผนระยะสั้นแบบเดือนต่อเดือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เงินที่เรามาหาได้ จริงๆ ยังมีเรื่องปลีกย่อยสำหรับช่วง 7 วันอันตราย เช่น ไม่ควรเข้าห้างสรรพสินค้า (ถ้าไม่จำเป็น) เพราะจะเห็นป้ายลดราคาเต็มไปหมด แต่เรื่องพวกนี้สำหรับตัวเองแล้วต้องบอกว่า รู้สึกเฉยๆ เพราะสุดท้ายต้องขึ้นกับ “ความมีวินัย” รวมไปถึง “ความยับยั้งชั่งใจ” ของตัวเองเป็นสำคัญ

          ถ้ามีวินัย ยับยั้งชั่งใจได้ ต่อให้ป้ายเซลส์ตัวโตเท่าฝาบ้าน ก็ทำอะไรเราไม่ได้ค่ะ         

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Sunnyday