ห้องเม่าปีกเหล็ก

สำรวจ 6 หุ้นใหญ่ราคาร่วงแรง

โดย เข็มทิศ
เผยแพร่ :
281 views

สำรวจ 6 หุ้นใหญ่ราคาร่วงแรง

SINGER – SGC – KEX อ่วม! โบรกฯ สั่ง “ขาย”

.

ตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยโดนปัจจัยกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีปรับตัวหลุดระดับ 1,600 จุด รวมถึงมีหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวที่ราคาปรับลงไปลึก และปัจจุบันราคายังไม่ฟื้นตัวมากนัก

.

วันนี้ Wealthy Thai จึงจะพานักลงทุนมาสำรวจพื้นฐานของ 6 หุ้นใหญ่สุดฮิตที่ราคาปรับตัวลงไปลึกว่า มีแนวโน้มการดำเนินงานเป็นอย่างไร มีโอกาสที่กำไรจะเติบโตมากแค่ไหน และในมุมมองของนักวิเคราะห์ราคาที่ปรับมากเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้หรือไม่

.

JMART ลุ้นกำไรไตรมาส 2/66 ฟื้น

มาเริ่มที่ JMART ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 51.17% มาอยู่ที่ระดับ 19.90 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุถึงแนวโน้มการดำเนินงานว่า กําไรปกติในไตรมาส 2/66 จะดีขึ้นจากไตรมาส 1/66

.

ทั้งนี้เชื่อว่ากลุ่ม SINGER จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยจะส่งต่อส่วนแบ่งผลขาดทุนมาให้ JMART ในจํานวนที่น้อยกว่าไตรมาสก่อน แต่ธุรกิจจัดจําหน่ายโทรศัพท์มือถือ (Jaymart Mobile) ที่เป็นธุรกิจหลักคาดจะชะลอตัวลง หลังมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” สิ้นสุดลงตั้งแต่กลางก.พ. 66

.

นอกจากนี้เชื่อว่าผู้บริโภคจะชะลอการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ โดยจะรอการเปิดตัวของไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3-4/66 ส่วนธุรกิจรองอย่างการบริหารหนี้ และให้สินเชื่อ ภายใต้การบริหารของ JMT คาดว่าจะมีพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่แรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นดูผ่อนคลายลงแล้ว

.

ดังนั้นเพื่อสะท้อนกําไรไตรมาส 1/66 ที่อ่อนแอ ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับคาดการณ์กําไรปกติปี 2566 ลงจากเดิม 25% เหลือ 1.1 พันล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ทําให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ลดจาก 43 บาท เหลือ 26 บาท และแนะนํา “Neutral”

.

SINGER ปี 66 ขาดทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี

ถัดมา SINGER ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 61.39% มาอยู่ที่ระดับ 11.10 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงาน บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดไตรมาส 2/66 จะหดตัวจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากปัจจัย 1. ยอดขายที่ลดลงจากฐานสูง และประเมินว่าบริษัทจะยังเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุม NPL ไม่ให้สูงขึ้น

.

2.ค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/66 จากค่าปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่น้อยลงเล็กน้อย ตามปริมาณสินค้ายึดคืนที่น้อยลง ภายหลังที่บริษัทจะหาช่องทางระบายสินค้ายึดคืน เช่น การจำหน่าย ตู้เติมน้ำมันเป็นปั๊มทันใจมากขึ้น

.

โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการปี 2566 ลงเป็นขาดทุนสุทธิที่ 1.6 พันล้านบาท จากการปรับลดยอดขาย, รับรู้ gross loss margin ในธุรกิจ direct sale, เพิ่ม credit cost และ NPL ที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 6 บาท

.

ทั้งนี้เนื่องจากผลการดำเนินงานที่จะยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัยระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้นเป็น single digit เหมือนช่วงปี 2558-2560 รวมทั้งผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมาขาดทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี จึงเชื่อว่าราคาหุ้นควรจะเทรดที่ discount และต่ำกว่าช่วงโควิด-19 เนื่องจากไม่มีมาตรการช่วยเหลือและการผ่อนผันเกณฑ์ในการจัดชั้นลูกหนี้และตั้งสำรองในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

.

SGC สินเชื่อตกชั้นเป็น NPL ต่อเนื่อง

SGC ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 60.69% มาอยู่ที่ระดับ 1.95 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 โดยแนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเด็นเรื่องสินเชื่อภายใต้มาตรการความช่วยเหลือยังคงมีอยู่ในไตรมาส 2/ 2566 โดยสินเชื่อคงเหลือภายใต้มาตรการบรรเทาหนี้จากโควิด-19 จำนวน 10.58% ของสินเชื่อรวมไตรมาส 1/2566 มีโอกาสสูงที่จะถูกไหลลงมาเป็น NPL ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของสินเชื่อในส่วนนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงจากไตรมาสก่อนหน้า

.

ทั้งนี้บริษัทระบุว่า credit cost ที่อยู่ในระดับสูงจะส่งผลกระทบเฉพาะกำไรไตรมาส 2/66 โดยคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในครึ่งหลังของปี 2566 ส่งผลให้บริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง จากเป้าหมายการลดต้นทุนที่ 20% ตามแผนการลดพนักงาน การวมศูนย์การอนุมัติสินเชื่อไว้ที่สำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว และการประสานนโยบายการติดตามหนี้กับ JMT

.

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ลดประมาณการกำไรปี 2566 เป็นผลขาดทุนสุทธิที่ 682 ล้านบาท จากคาดการณ์เดิมที่มีกำไร 782 ล้านบาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด พร้อมลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 1.50 บาท จากเดิม 4.10 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรและการลดตัวคูณมูลค่าหุ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์จะกลับมามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น หากคุณภาพสินทรัพย์มีสัญญาณการฟื้นตัว

.

BUNPU รอจังหวะเข้าลงทุน รับราคาพลังงานฟื้น

BUNPU ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 36.13% มาอยู่ที่ระดับ 8.75 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 ส่วนแนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 และ 3/66 ไม่เด่น คาดลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กดดันจากการปรับตัวลงของราคาขายเฉลี่ย (ASP) ตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลดลงจากเดิมเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 68% จากปีก่อน

.

โดยราคาก๊าซและถ่านหินในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามี Upside จำกัด เพราะอุปสงค์ชะลอลงตามฤดูกาล, เศรษฐกิจจีนเติบโตช้ากว่าคาด, ปริมาณสำรองในยุโรปอยู่ระดับสูง และยุโรปอาจระบายอุปทานเข้าสู่ภูมิภาค ทั้งนี้ คงคำแนะนำ เก็งกำไร เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจรอจังหวะเข้าซื้อช่วงไตรมาส 4/66 ซึ่งราคาพลังงานจะเริ่มฟื้นตัวตามการเพิ่มปริมาณสำรองพลังงานเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับอุปสงค์ในฤดูหนาวของภูมิภาคตะวันตก ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ที่ 9 บาท

.

EA รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม EV

EA ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 34.28% มาอยู่ที่ระดับ 63.75 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 โดยแนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า EA คาดรายได้รวมปี 2566 จะเติบโตมากกว่า 50% จากปริมาณการส่งมอบรถ EV ทุกประเภทที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยวางเป้าหมายการส่งมอบรถ EV ทุกประเภทในปี 2566 จำนวน 4พันคัน ทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ EV และแบตเตอรี่ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 53% จากปีก่อน 31%

.

ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ที่ 80 บาท สำหรับการลงทุนระยะ 12 เดือนขึ้นไป โดยในระยะสั้นการฟื้นตัวของราคาหุ้นมีโอกาสถูกจำกัดจากความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะ Recession ในเชิงกลยุทธ์นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยจึงไม่จำเป็นต้องรีบเข้าลงทุน และอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังการปรับฐานของราคาหุ้นเพื่อสะท้อนผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะ Recession เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งคาดเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

.

KEX ปี 66-67 มีผลขาดทุนต่อเนื่อง

และสุดท้าย KEX ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว 42.39% มาอยู่ที่ระดับ 10.60 บาท ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66 โดยแนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาด KEX จะมีผลขาดทุนยืดเยื้อนานกว่าคาด เพราะมาตรการลดต้นทุนของบริษัทจะยังไม่สัมฤทธิ์ผลตราบใดที่รายได้ยังอยู่ในขาลง

.

โดยหลักๆ จะถูกฉุดจากปริมาณขนส่งพัสดุที่ลดลง ทั้งนี้ยังพอมีสัญญาณเชิงบวกเล็กๆ จากการฟื้นตัวของรายได้เฉลี่ยต่อพัสดุ หลังจากบริษัทหันมาเน้นกลุ่มลูกค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงแทนในเชิงรายได้ต่อหน่วยพัสดุ แทนลูกค้าหลักก่อนหน้าบนแพลตฟอร์ม e-commerce

.

ขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) คาดจะลดลงต่อเนื่องตลอดปี 2566 เพราะบริษัทจะใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนอย่าง SF Express ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดการพึ่งพากำลังคนได้แบบมีประสิทธิภาพ

.

แต่กลยุทธ์การลดต้นทุนจะไม่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้บริษัทในระยะยาวมากนัก ถ้าส่วนแบ่งการตลาดทรงตัวหรือลดลง ด้วย เหตุนี้ฝ่ายวิเคราะห์จึงลดคำแนะนำเป็น ขาย มูลค่าพื้นฐาน 9.10 บาท หลังจากปรับเพิ่มประมาณการขาดทุนปี 2566 เป็น 2.5 พันล้านบาท และปรับลดประมาณการปี 2567 จากกำไรสุทธิเป็นขาดทุน 734 ล้านบาท

 

 


เข็มทิศ