ฉบับที่ 72 /2560
11 กันยายน 2560
บจ. ไทยครองแชมป์เข้าดัชนี DJSI สูงสุดในอาเซียน และเพิ่มขึ้นสูงสุดในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก
บจ. ไทย 17 บริษัท ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีแห่งความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices
(DJSI) ประจำปี 2560 ได้แก่ AOT, BANPU, CPF, CPN, IRPC, KBANK, MINT, PTT, PTTEP, PTTGC, SCC, TOP, TU
และ 4 บริษัทใหม่ คือ CPALL, HMPRO, IVL, TRUE มีผลในการคำนวนดัชนี 18 ก.ย. นี้
โดยไทยยังคงเป็นประเทศที่มี บจ. ได้รับเลือกเป็นสมาชิก DJSI สูงสุดใน ASEAN และในครั้งนี้มีจำนวน บจ.
เพิ่มสูงสุดในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จของ บจ.
ไทยที่มีพัฒนาการด้านความยั่งยืนโดดเด่นในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง
DJSI ประจำปี 2560 ประกาศรายชื่อ 17 บจ. ไทย ที่ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวนในดัชนี DJSI ทั้ง DJSI World
และ DJSI Emerging Market โดยมี 4 บจ. ที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI เพิ่มขึ้น คือ บมจ. ซีพี ออลล์
(CPALL) บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น
(TRUE) ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มี บจ. ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่ม DJSI Emerging
Markets นอกจากนี้ บมจ. ไทยออยล์ (TOP)
ยังได้รับคะแนนสูงสุดเป็นที่หนึ่งด้านความยั่งยืนในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานโลก (Energy Industry Group
Leader) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ และประเทศไทยยังมี บจ. ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกจำนวนสูงสุดใน ASEAN
ทั้งในกลุ่มดัชนี DJSI World และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets
บจ. ไทย ที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI ได้แก่
- กลุ่มดัชนี DJSI World 5 บจ. ได้แก่ 1) บมจ. ธ. กสิกรไทย (KBANK) 2) บมจ. ปตท. (PTT) 3) บมจ. ปตท.
สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 4) บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ 5) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย
(SCC)
- กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets 16 บจ. ได้แก่ 1) บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) 2) บมจ. บ้านปู (BANPU)
3) บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) 4) บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) 5) บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) 6) บมจ.
โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) 7) บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) 8) บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) 9) บมจ.
ธ. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) 10) บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) 11) บมจ. ปตท. (PTT) 12)
บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 13) บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) 14) บมจ. ไทยออยล์
(TOP) 15) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ 16) บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) (ทั้งนี้
ยังมีบริษัทไทยอีก 1 แห่งที่ได้รับการคัดเลือกเข้าดัชนี DJSI คือ บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ)
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ
มุ่งส่งเสริมให้ บจ. เห็นความสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
สร้างการเติบโตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพควบคู่กัน โดยสนับสนุนให้ บจ. ไทยเข้าร่วมประเมินความยั่งยืนของ
DJSI นับเป็นความสำเร็จที่ บจ. ไทย ก้าวสู่มาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของ บจ. ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมความพร้อมให้ บจ.
ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานผ่านโครงการ DJSI Exclusive Coaching
โดยวิทยากรผู้มีประสบการณ์ตรงจาก RobecoSAM ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
เพื่อส่งเสริมให้หลักทรัพย์ไทยที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนเป็นที่น่าสนใจและเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุน
ทั้งในและต่างประเทศ"
ในปี 2560 DJSI คัดเลือก 2,528 บริษัทในตลาดทุนทั่วโลก (DJSI World) และ 803 บริษัทในกลุ่มตลาดเกิดใหม่
(DJSI Emerging Market) จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดและทำการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
เพื่อคัดเลือกบริษัทที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI
ซึ่งกองทุนต่างๆ ใช้พิจารณาประกอบการลงทุน
โดยผู้ลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มมากขึ้นในปัจจ
ุบัน ณ สิ้นเมษายน 2560 สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการลงทุนอย่างยั่งยืนจากการสำรวจของ UNPRI
มีมูลค่าสูงถึง 68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี
ทั้งนี้การประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI มีผลตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2560
ซึ่งจะมีการทบทวนและประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี
"SET...You Grow, We Groom"
เลขที่ IFEC/สนบ/2560/0059
วันที่ 11 กันยายน 2560
เรื่อง ขอแจ้งผลการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (ฉุกเฉิน) ครั้งที่ 4 /2560
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตามที่บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("บริษัท")
ได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (ฉุกเฉิน) ครั้งที่ 4/2560 ในวันที่ 10 กันยายน 2560 เวลา 15.00
น. ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักงานบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เลขที่ 33/4 อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ ชั้น 29 อาคาร B ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
กรุงเทพมหานคร สำนักงานใหญ่ของบริษัท นั้น โดยมีผลการประชุมแต่ละวาระสรุปได้ดังนี้
วาระที่ 1 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการใหม่แทนกรรมการที่ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท
มติ : แต่งตั้งนายมนูศักดิ์ เดี่ยววาณิชย์เป็นกรรมการแทนนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์
วาระที่ 2 พิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการและรองประธานกรรมการ
มติ : แต่งตั้งนายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ เป็นประธานกรรมการ และแต่งตั้งนายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์
เป็นรองประธานกรรมการ
ในวาระอื่น นายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ แจ้งต่อที่ประชุม ถึงการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท
ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจสอบได้ จึงขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการตรวจสอบ
โดยขอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาคัดเลือกกรรมการเข้าเป็นกรรมการตรวจสอบแทน
มติ : แต่งตั้งนายพีรธัช สุขพงษ์ เป็นกรรมการตรวจสอบแทนนายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ
อนึ่ง ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทข้างต้น ทำให้มีกรรมการบริษัท ครบทั้ง 9 คน ได้แก่
1. นายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์
2. นายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ
3. พลตรีบุญเลิศ แจ้งนพรัตน์
4. นายธีติพันธ์ เทพผดุงพร (ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2560)
5. นายปิยะพงศ์ วงศ์สุวัฒน์ แทน นายทวิช เตชะนาวากุล ที่ลาออก (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่
6/2560 ประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 )
6. นายวิภู มหารักขกะ แทน นางสาวประนอม โฆวินวิพัฒน์ ที่ลาออก (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่
6/2560 ประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 )
7. นายพีรธัช สุขพงษ์ แทน พลตำรวจเอกสุนทร ซ้ายขวัญ ที่ลาออก (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 6/2560
ประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 )
8. นายไชยนาจ ญาติฉิมพลี แทน นายปริญญา วิญญรัตน์ ที่ลาออก (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 6/2560
ประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 )
9. นายมนูศักดิ์ เดี่ยววาณิชย์ แทน นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ออกจากตำแหน่ง
(ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (ฉุกเฉิน) ครั้งที่ 4/2560 ประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ก.ล.ต.สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนและห้ามปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสาขาสังกัด KBANK รวม 5 ราย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 17:07:48 น.
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งพักการให้ความเห็นชอบผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์สังกัดธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 5 ราย ฐานบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพ ได้แก่ (1) นางสาวพรประภา การนิธิ (2) นางทศวรรณ บุญชุ่ม (3) นางสาววันทนา ศิริพรกิตติ (4) นางสาวปาณิสรา กลิ่นมาลา และ (5) นางอรพิน บุญญานุพงศ์ และห้ามบุคคลในลำดับที่ (2) – (4) ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสาขาในส่วนของธุรกิจตลาดทุน พร้อมเตือนผู้ลงทุนทำความเข้าใจกองทุนรวมที่จะลงทุนให้ดีก่อนตัดสินใจ
การลงโทษบุคคลลำดับที่ (1) นางสาวพรประภา ก.ล.ต. สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์เป็นเวลา 40 วัน และ (2) นางทศวรรณ ก.ล.ต. สั่งห้ามปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาในส่วนของธุรกิจตลาดทุน และสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์และผู้วางแผนการลงทุน เป็นเวลา 2 เดือน โดยทั้งสองกรณีมีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2560
สืบเนื่องจากนางสาวพรประภาลงชื่อในฐานะผู้ให้คำแนะนำกับลูกค้าทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ติดต่อและให้คำแนะนำแก่ลูกค้ารายหนึ่ง โดยลูกค้ารายดังกล่าวได้รับคำแนะนำจากพนักงานอื่นซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน นอกจากนี้ นางทศวรรณซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาที่ลูกค้ารายดังกล่าวได้รับคำแนะนำ ละเลยในการควบคุมและดูแลการปฏิบัติงานในสาขาจนเกิดเหตุดังกล่าว ทำให้ลูกค้าลงทุนไม่เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการรับความเสี่ยง
การลงโทษบุคคลลำดับที่ (3) นางสาววันทนา ก.ล.ต.สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ และห้ามปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาในส่วนของธุรกิจตลาดทุน เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2560 โดยนางสาววันทนาแนะนำให้ลูกค้าซื้อกองทุนประเภท trigger fund แต่มิได้อธิบายข้อมูลให้ลูกค้าเข้าใจอย่างครบถ้วน และไม่ได้ให้ fund factsheet แก่ลูกค้า ลูกค้าจึงลงทุนไปโดยคิดว่าเป็นกองทุนตราสารหนี้เหมือนที่เคยลงทุนและต่อมาเกิดขาดทุน
การลงโทษบุคคลลำดับที่ (4) นางสาวปาณิสรา ก.ล.ต. สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์และผู้วางแผนการลงทุน และห้ามปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของธนาคารในส่วนของธุรกิจตลาดทุน เป็นเวลา 4 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เนื่องจากนางสาวปาณิสรานำเงินของลูกค้าจากกองทุนที่ครบกำหนดไปซื้อกองทุนโดยไม่แจ้งลูกค้าและไม่ชี้แจงรายละเอียดของกองทุนให้แก่ลูกค้าเจ้าของบัญชี รวมทั้งพบว่าไม่ได้ทำการประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของลูกค้าก่อนนำเสนอกองทุนซึ่งมีผลให้ลูกค้าลงทุนไม่เหมาะสม
การลงโทษบุคคลลำดับที่ (5) นางอรพิน ก.ล.ต. สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เนื่องจากนางอรพินแนะนำให้ลูกค้าเปิดบัญชีกองทุนรวมในขณะที่ลูกค้าต้องการเปิดบัญชีเงินฝากประจำ โดยนางอรพินไม่ได้ติดต่อและสอบถามความต้องการของลูกค้าโดยตรงทั้งที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่สอบถามผ่านพนักงานที่ไม่ได้รับความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน ทำให้วิเคราะห์ลูกค้าไม่ครบถ้วน และแนะนำการลงทุนที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้
ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้รับความร่วมมือจากธนาคารกสิกรไทย ในการรายงานข้อร้องเรียนและข้อมูลการกระทำผิดของบุคคลทั้ง 5 ราย ข้างต้น
อนึ่ง ก.ล.ต.ขอเตือนผู้ลงทุนให้ใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจลงทุนเนื่องจากกองทุนรวมมีความหลากหลาย ซึ่งแต่ละประเภทมีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนบนปัจจัยและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ผู้ลงทุนจึงต้องซักถามผู้ขายและขอรับ fund factsheet และศึกษาให้เข้าใจอย่างดีก่อนการตัดสินใจลงทุน และในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการให้บุคคลอื่นสั่งซื้อขายแทนต้องทำหนังสือมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย
นายกฯ ต้อนรับคณะนักลงทุนญี่ปุ่นหวังร่วมป็นหุ้นส่วนศก.พัฒนา ECCi เป็นแลนด์มาร์คแหล่งอุตสาหกรรมเอเชีย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 16:42:19 น.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับ Mr.Hiroshige Seko รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) พร้อมด้วยหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและคณะนักลงทุนรายใหญ่กว่า 570 รายจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องในโอกาที่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาสู่ปีที่ 130 พร้อมเผยญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นในเสภียรภาพทางเศรษฐกิจ ย้ำปีนี้การเมืองไทยมั่นคงที่สุดในรอบ 10 ปี
นอกจากนี้ ในการพบกันครั้งนี้ยังได้ผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Connected Industries ไปสู่นโยบาย Thailand 4.0 Towrrds Connected Industries เพื่อจับมือร่วมกันในการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงการส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน
"เร็วๆ นี้มีข่าวน่ายินดีที่เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นเติบโตมากที่สุดในรอบ 2 ปีและเป็นผลต่อเนื่องให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน ตลอดจนการผลักดันนโยบายอาเบะโนมิกส์ และ Connected Industries ที่ทั้ง 2 นโยบายดังกล่าจะเชื่อมโยงมาสู่ยุทธศาสตร์การส่งเสริมกลุ่มประเทศ CLMVT การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะทำให้เกิดการร่วมมือและขับเคลื่อทั้ง 2 ประเทศ ไปสู่อนาคตอย่างมีนัยสำคัญ"
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ยังคงยึดแม่เหล็กใหญ่คือนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นสำคัญ โดยหลักการดังกล่าวนั้นสามารถเชื่อมโยงและร้อยเรียงกับนโยบาย Connected Industries ของประเทศญี่ปุ่นให้เกิดความสอดคล้องและเติมเต็มระหว่างกันและนำไปสู่ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 Towards Connected Industries ได้อย่างดีเยี่ยม
ทั้งนี้ การเชื่อมต่อของทั้งสองนโยบายจะเริ่มต้นที่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเสรีการค้า การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และผู้ประกอบการ SMEs ของทั้งสองประเทศ โดยปัจจัยทั้งหมดนี้ยังจะช่วยยกระดับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย ให้เป็นแลนด์มาร์คของแหล่งอุตสาหกรรมที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนงานการลงทุนเพื่อยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (EECi) ที่มีจุดเด่นด้านความเป็นเมืองนวัตกรรมที่เป็นต้นแบบของการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะองค์รวม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อก่อประโยชน์สูงสุดด้วยการรวมศูนย์ห้องปฏิบัติการและสนามทดสอบนวัตกรรม ศูนย์รับรองมาตรฐานนวัตกรรมทางด้านระบบและอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยจัดตั้งเป็นเขตทดสอบนวัตกรรมอัจฉริยะของประเทศที่ผ่อนปรนกฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการคิดค้นนวัตกรรม
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดแผนการลงทุนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในระยะ 5 ปี (60 – 64) เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพฯ กับภาคตะวันออกรวมทั้งเชื่อมสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเป็นประตูสู่เมียนมา เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ซึ่งประกอบด้วยโครงการสำคัญๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ในระยะ 5 ปีแรก จะเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารจาก 3 ล้านคน เป็น 5 ล้านคนต่อปี และ 60 ล้านคนภายในปี 2575, โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางและการขนส่ง,
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เพื่อรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศในอนาคต, โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณูปโภคหลักในการรองรับการขนส่งสินค้าเหลว ก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง, โครงการพัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ, โครงการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง, ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS: One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นอกจากนั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศ รัฐบาลยังได้แก้ไขกฎหมายการส่งเสริมการลงทุน และออกมาตรการเพื่อเร่งรัดการลงทุนเพิ่มเติม ตลอดจนเพิ่มสิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังให้เกิดการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ตลอดจนการส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการลงทุนต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยยังตั้งเป้าให้มีการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนในอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ ยานยนต์ อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ Green Technology ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะอัพเกรดให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้คอนเซปต์ “สมาร์ท" เพื่อให้ความก้าวล้ำเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ คณะผู้เดินทางจากญี่ปุ่น ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ อธิบดีกรมนโยบายการค้า ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JETRO) ประธานองค์การสนับสนุน SME แห่งประเทศญี่ปุ่น (SMRJ) ผู้บริหารบริษัท อายิโน๊ะโมโต๊ะ คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น มิตซุยซูมิโตโม่อินชัวรันส์
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในระยะนี้ถือว่าแข็งค่าสุดในภูมิภาค ซึ่งหลัก ๆ มาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นยังมาจากนักลงทุนต่างชาติคลายความกังวลสถานการณ์การเมืองในประเทศ ทำให้มั่นใจมากขึ้นในการนำเงินเข้ามาลงทุน