ส่องปัจจัยพื้นฐาน “หุ้นลีสซิ่ง”
ท่ามกลางปัจจัยกดดันรอบด้าน
.
แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือนส.ค. จะเพิ่มขึ้น 0.88% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ จากราคาน้ำมันดิบที่เร่งตัวขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.79% ทำให้ภาพรวมเงินเฟ้อทั่วไป 8 เดือนแรกอยู่ที่ 2.01% ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ระดับ 1-3% ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่า กนง. อาจมีความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว นับเป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง
.
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มปัจจัยกดดันด้านต้นทุนการเงินของหุ้นกลุ่มลีสซิ่งเริ่มผ่อนคลายลง แต่ยังมีปัจจัยใหม่ให้ติดตามต่อเนื่อง หลังร่างนโยบายของรัฐบาลระบุถึง นโยบายพักหนี้เกษตรกร และมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินของภาคประชาชน ทำให้ตลาดกังวลว่าจะกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ (Loan growth) ในกลุ่มลีสซิ่งหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามความชัดเจนของร่างนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 11 ก.ย. นี้
.
ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้รวบรวมแนวโน้มการดำเนินงาน คาดการณ์กำไรสุทธิ และคำแนะนำการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง 3 ตัว คือ SAWAD MTC และ TIDLOR มาฝาก เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน
.
มาเริ่มกันที่ SAWAD นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 ของ SAWAD จะปรับขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ในระดับ 1,300-1,400 ล้านบาท หนุนจากการตั้งสำรองที่จะลดลงไปมาก หลังไม่มีรายการพิเศษเหมือนในไตรมาส 2/66 ขณะที่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
.
นอกจากนี้ยังเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้รายได้ดอกเบี้ยจากบริษัทเงินสดทันใจเข้ามาเต็มไตรมาส หนุนให้ Asset Yield เริ่มมีพัฒนาการเชิงบวก ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมแม้จะลดลงเล็กน้อย หลังไม่มีค่าบริหารจัดการสินเชื่อของบริษัทเงินสดทันใจ แต่จะถูกชดเชยด้วยรายได้ค่าธรรมเนียมขายประกันที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น
.
ดังนั้นคาดว่าปี 2566 จะมีกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 5,524 ล้านบาท โต 23.4% จากปีก่อน โดยจากผลการดำเนินงานที่จะมีพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงจากการตั้งสำรองที่สูงกว่าคาด จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 64 บาท
.
ถัดมา MTC นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า แม้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income) มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด (บริษัทวางเป้าต่ำกว่า 48.6% ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด 49.6%) แต่จะถูกชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่สูงกว่าคาด (เป้า MTC ที่ 3.5-3.9% ซึ่งมีแนวโน้มอยู่ช่วงขอบบนที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 3.5%)
.
โดยคงคำแนะนำ REDUCE และคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 31 บาท เพราะคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ยังอ่อนแอ ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองและ NPL Ratio ยังคงอยู่ระดับสูง กดดันผลประกอบการอีกสักระยะ ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า แม้สินเชื่อรวมและค่าทวงถามหนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายสำรองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน พร้อมคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 4,477 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน
.
สุดท้าย TIDLOR ฝ่ายวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า คาดแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะอยู่ในระดับทรงตัวจากครึ่งปีแรก และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโตในระดับปานกลาง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลง credit cost ที่สูงขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
.
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรลดลงเล็กน้อย 1% สำหรับปี 2566 และ 3% สำหรับปี 2567 จากการเติบโตของสินเชื่อและ NIM ที่มีแนวโน้มลดลง
.
ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรในปี 2566-2567 จะอยู่ที่ 3,765 ล้านบาท เติบโตราว 3% และ 4,408 ล้านบาท เติบโต 17% ตามลำดับ (EPS growth -8% โดยมีสาเหตุมาจาก dilution effect จากหุ้นปันผล) โดยคงเรทติ้ง NEUTRAL แต่ปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 24 บาท เนื่องจากปรับ valuation ลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันมากขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อที่ลดลง
