SCGP ประกาศงบไตรมาส 1/66

SCGP ประกาศงบไตรมาส 1/66

มีกำไร 1.2 พันล้านบาท ลดลง 26%

ลั่นปี 66 รายได้ทะยาน 1.6 แสนล้านบาท

.

SCGP มองผลงานไตรมาส 2/66 โตกว่าไตรมาส 1/66 หลังความต้องใช้บรรจุภัณฑ์ฟื้นรับจีนเปิดประเทศและภาคท่องเที่ยวในประเทศหนุน พร้อมแย้มช่วงที่เหลือปีนี้จ่อทำดีล M&P อีกราว 2-3 ดีล

.

โดยนายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 มีอัตราเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของตลาดบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยมีรายได้จากการขาย 33,729 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการขายที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีสาเหตุหลักมาจาก ผลกระทบต่อเนื่องจากนโยบายล็อกดาวน์ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิดในปีก่อนของประเทศจีน

.

โดยทำให้ความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์โดยรวมลดลง ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการขายและราคาขายที่ลดลงตามไปด้วยรวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคหดตัวลง โดยเฉพาะการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็น

.

สำหรับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษ ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศต่างๆ พร้อมทั้งการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นหลังจากการเปิดประเทศของจีน

.

โดยไตรมาส 1/66 มีกำไรสำหรับงวด 1,220 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 171% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งกำไรที่ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากปริมาณการขายและราคาขายที่ลดลง เนื่องจากความต้องการบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคชะลอตัว

.

ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากความต้องการกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศในอาเซียนและประเทศจีนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นหลังจากประชาชนคลายความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGP ที่ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเศรษฐกิจและตลาดบรรจุภัณฑ์

.

นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนมาจากการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เพิ่มขึ้น และได้รับผลดีจากภาคการผลิตของจีนที่เริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศทำให้ปริมาณการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งต้นทุนต่าง ๆ ได้แก่ ราคาพลังงาน วัตถุดิบและค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่ออัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น

.

ทั้งนี้ ยังคงมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังผันผวน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ทำให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณบวกในการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

.

มองไตรมาส 2 เติบโตจากไตรมาสแรก

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะโตกว่าไตรมาส 1/66 เนื่องจาก ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการภายในประเทศจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจบริการ รวมถึงราคาวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติและมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนราคาพลังงานและค่าระวางเรือขนส่งมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารจัดการต้นทุน

.

สำหรับภาพรวมทั้งปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 1.6 แสนล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังหรือในไตรมาส 3/66-4/66 จะดีกว่าครึ่งช่วงปีแรกมตามความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ แต่อย่างไรก็ดีบริษัทอาจมีการพิจารณาเป้าหมายรายได้อีกครั้ง

.

ทั้งนี้แผนการทำดีล M&P ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสจะได้อีกราว 2-3 ดีล ซึ่งบริษัทมีความสนใจในธุรกิจที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเดิมหรือต่อยอดความเชี่ยวชาญของธุรกิจ รวมไปถึงธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างการเติบโตให้แก่บริษัท โดยบริษัทมีงบลงทุนในการทำ M&P จำนวน 9 พันล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้วราว 1.5 พันล้านบาท

.

ส่วนงบลงทุนในปี 2566 บริษัทไว้ที่ราว 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งกว่า 50%หรือราว 9 พันล้านบาท เพื่อรองรับการทำดีล M&P และส่วนที่เหลือ เเบ่งเป็นการรองรับแผนการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG ให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ทั้งหมดราว 5-6 พันล้านบาท ,รองรับการขยายและปรับปรุงไลน์การผลิตให้มีประสิทธิภาพราว 3 พันล้านบาท รวมถึงงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา 800 ล้านบาท