ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลมหายใจของ คลื่นวิทยุ เมืองไทย

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
64 views

ลมหายใจของ คลื่นวิทยุ เมืองไทย - MarketThink

 

 

ในยุค 90 สิ่งหนึ่งที่คลายเหงา และให้ความบันเทิงแก่เรา ก็คือ การฟังวิทยุ

เหตุผลความชอบแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนชอบฟังคลื่นนี้เพราะเปิดเพลงเพราะ

บางคนแอบ หลงรัก DJ, แอบส่งเพลงจีบสาวผ่าน DJ

จนถึงปรึกษาปัญหาหัวใจกับ พี่อ้อย พี่ฉอด ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่นิยมกัน

แต่รู้หรือไม่ว่า ณ วันนี้ สื่อวิทยุ ที่ในอดีตเราหลงรัก กำลังถูกลืม!

จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าปี 2551

คนไทยฟังวิทยุอยู่ที่ 31% จากจำนวนประชากรทั้งหมด

ล่าสุดในปี 2561 กสทช.ระบุว่ามีจำนวนผู้ฟังคลื่นวิทยุ 15% จากจำนวนประชากรทั้งหมด

ผ่านไป 10 ปีอัตราคนไทยฟังวิทยุหายไปมากกว่าเท่าตัว

กำลังเกิดอะไรขึ้นกับสื่อที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนในยามเหงาของเรา

ไม่ใช่คนเลิกฟังวิทยุ เพียงแต่มีทางเลือกการฟังเพลงใหม่ๆ ที่เข้ามาแทนที่ เช่น Music Streaming ต่างๆ, YouTube จนถึงการดาวน์โหลดเพลงฟังผ่าน Smartphone เป็นต้น

เมื่อจำนวนคนฟังวิทยุน้อยลง สถานการณ์ของสื่อวิทยุจึงไม่ต่างจากสื่อสิ่งพิมพ์คือ เม็ดเงินโฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักหล่อเลี้ยงธุรกิจนั้นลดน้อยลงต่อเนื่องในทุกๆ ปี

ข้อมูลจากนีลเส็นระบุว่าในปี 2553 สื่อวิทยุมีเม็ดเงินโฆษณารวมกัน 6,114 ล้านบาท

ล่าสุดปี 2561 มีมูลค่าอยู่ที่ 4,600 ล้านบาท

9 ปีผ่านไปเม็ดเงินโฆษณาหายไปถึง 1,514 ล้านบาท

และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คลื่นวิทยุไหนที่ทนแรงเสียดทานทางธุรกิจไม่ไหวก็ต้องปิดตัวลงไป เหลือแต่เพียงชื่อเสียงในอดีต

ขณะที่หลายบริษัทที่ยังมีคลื่นอยู่บนหน้าปัดวิทยุ ก็กำลังพบเจอกับฝันร้าย

เมื่อรายได้ลดน้อยลง เช่น

บริษัท คูลลิซึ่ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ RS มีคลื่นวิทยุ COOL 93 Fahrenheit

ปี 2560 มีรายได้ 343 ล้านบาท กำไรสูงถึง 106 ล้านบาท

ปี 2561 มีรายได้ 32 ล้านบาท กำไรเหลือ 7.2 ล้านบาท

บริษัท บีอีซี-เทโร เรดิโอ จำกัด โดยมี 3 คลื่น คือ HITZ 955, TofuPOP Radio.FM และ Star FM

ปี 2560 มีรายได้ 179 ล้านบาท ขาดทุน 76 ล้านบาท

ปี 2561 มีรายได้ 168 ล้านบาท ขาดทุน 18 ล้านบาท

ที่น่าสนใจคือ เวลานี้บรรดาคลื่นวิทยุต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกที่จะทำธุรกิจในแบบเดิมๆ

เพราะนับตั้งแต่เทรนด์ฟังเพลงออนไลน์เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น

หลายคลื่นวิทยุได้เพิ่มช่องทางการฟังเพลงผ่านเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน

ขณะเดียวกันก็เพิ่มอัตราการจัดคอนเสิร์ต และอีเวนต์ให้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

ซึ่งนอกจากรักษาฐานผู้ฟังที่มีอยู่ในมือแล้วนั้น

ยังเป็นการชดเชยรายได้จากค่าโฆษณาวิทยุที่นับวันจะน้อยลงทุกๆ ปี

มาถึงตรงนี้ ธุรกิจวิทยุ จึงนับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาในการปรับตัวที่น่าสนใจ

เพราะธุรกิจนี้ ก็ไม่ต่างจากธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัล

คือไม่มีรายได้จากฐานกลุ่มคนฟัง แต่ต้องการฐานจำนวนคนฟังมากๆ เพื่อมาใช้ดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาจากแบรนด์สินค้า

แต่เมื่อวันหนึ่งมีเทคโนโลยีใหม่ เข้ามาแย่งชิงกลุ่มคนฟังคลื่นวิทยุตัวเองให้ลดน้อยลงไป

ผลกระทบก็คือยอดขายโฆษณาลดน้อยลงตามไปด้วย

คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องหลุดออกจากกรอบเดิมๆ ที่ไม่ได้อยู่แค่หน้าปัดวิทยุเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต แต่ต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งช่องทางก็คือจอ Smartphone

ส่วนสื่อวิทยุอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็คงยังไม่มีใครสามารถตอบได้แน่ชัด

แต่สิ่งหนึ่งที่ตอบได้ก็คือ สิ่งที่สื่อวิทยุมีแต่สื่ออื่นๆ ไม่มีก็คือ ความผูกพันระหว่างคนฟังกับดีเจ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พี่อ้อย พี่ฉอด

เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ใครมีปัญหาหัวใจ ปรึกษาใครไม่ได้ ก็ต้องถามพี่สองคนนี้

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, กสทช. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, รายงานประจำปีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ปี 2561, กรุงเทพธุรกิจ

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น