เปิดคาดการณ์กำไรหุ้น “ธนาคาร”
ไตรมาส 3/66 ใครทำผลงานดีที่สุด?
.
ใกล้เข้าสู่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/66 แล้ว ซึ่งหุ้นกลุ่มที่จะประกาศงบออกมาเป็นกลุ่มแรก คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร ดังนั้น Wealthy Thai จึงไม่พลาดที่จะนำคาดการณ์กำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มธนาคารมาฝาก
.
โดยมาดูกันว่าในไตรมาสนี้ ผลประกอบการจะเติบโตดีหรือไม่ และแนวโน้มช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 จะเป็นอย่างไร หลังคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.50% ต่อปี
.
สำหรับคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า จาก 8 หุ้นธนาคารที่ศึกษา ได้แก่ BBL, KBANK, SCB, BAY, KTB, TISCO, KKP และ TTB ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรอยู่ที่ 55,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
โดยจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้คาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คาดว่ากำไรจะลดลง 8.1% แม้คาดว่ารายได้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นได้ต่อ แต่คาดว่าต้นทุนดอกเบี้ยและการตั้งสำรองจะเพิ่มขึ้นทำให้กำไรของกลุ่มลดลง
.
ทั้งนี้คาด BBL จะเป็นธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเด่นที่สุด เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 โดยคาดว่าจะมีกำไร 9,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 29.1% ถึงแม้สินเชื่อจะหดตัวลง แต่รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมากและการตั้งสำรองที่ลดลง ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น
.
ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/66 คาดว่า KKP จะเติบโตเด่นที่สุด โดยคาดมีกำไร 1,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และผลขาดทุนรถยึดที่คาดว่าจะลดลง
.
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงน้ำหนัก "ลงทุนมากกว่าตลาด" สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง โดยยังคงเลือก BBL เป็น Top pick ของกลุ่มฯ ให้ราคาพื้นฐานที่ 191 บาท
.
แบงก์เตรียมขึ้นดอกเบี้ยต่อ ดัน NIM ไตรมาส 4 พุ่ง
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน คาดธนาคารจะปรับขึ้นอัตราเงินกู้ในรอบนี้ โดยแต่เดิม ธนาคารส่วนใหญ่เลือกที่จะคงอัตราเงินกู้หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.25%
.
โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะเริ่มปรับเพิ่ม MLR/MOR/MRR ต่อไปหลัง ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งเป็น 2.5% เมื่อวันก่อน
.
ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการปรับขึ้นดังกล่าวถือเป็นนัยเชิงบวกเล็กน้อยจากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของ ธปท. เนื่องจากคาดจะช่วยกระตุ้นอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ให้สูงขึ้นในไตรมาส 4/2566
.
แม้ปกติแล้วค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Opex) ของธนาคารส่วนใหญ่จะสูงขึ้นในไตรมาส 4 แต่ NIM ที่สูงขึ้น คาดจะช่วยบรรเทาผลกระทบ โดยเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น BBL, BAY, SCB และ KTB
.
สำหรับธนาคารขนาดเล็ก คาดว่า TISCO จะยังคงกำไรสุทธิให้อยู่ในระดับเดิมไว้ได้ จากอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ระดับสูงและการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่คาดว่า KKP จะประสบกับความยากลำบากมากขึ้นจาก NIM ที่ลดลงและ credit cost ที่สูง
.
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ลดมุมมองของกลุ่มธนาคารลงเป็น “กลาง” จาก “บวก” แต่ยังเลือก KTB และ BBL เป็นหุ้นเด่น โดยในปี 2567 คาดว่ากลุ่มจะน่าสนใจน้อยลงจากความเป็นไปได้ที่น้อยลงที่จะเพิ่ม NIM และลดต้นทุน
.
ขณะเดียวกันคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายใกล้แตะระดับสูงสุดแล้ว ฝ่ายวิเคราะห์จึงชอบธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็กจากประโยชน์ที่คาดได้รับจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น
.
รวมถึงเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวันต่อ (CASA ratio) ที่สูงขึ้นและผลบวกทางอ้อมต่อสินเชื่อธุรกิจจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่สูงขึ้นในตลาด

